ปราสาทเหล่านี้มีทั้งหมด 300 กว่าหลัง สร้างโดยกษัตริย์ และขุนนางในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-20 และในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2000 องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนปราสาทแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์ให้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม
ปราสาทชองบอร์ด (Chambord) เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำลัวร์ สร้างในสไตล์เรอเนซองส์แบบฝรั่งเศสโดยพระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 หลังจากที่พระองค์ได้ครอบครองเมืองมิลานและได้เห็นสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์อิตาลี พระองค์จึงมีพระประสงค์ที่จะสร้างปราสาทให้เป็นที่อิจฉาของยุโรปในสมัยนั้น
พระองค์ทรงโปรดการล่าสัตว์ จึงสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นในป่าเพื่อสะดวกกับการล่าสัตว์ บริเวณปราสาทจะมีกวาง หมูป่าเดินอยู่รอบ ๆ หลังจากสวรรคต ปราสาทแห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างเป็นเวลากว่า 400 ปี
ไม่ไกลจากปราสาทชองบอร์ด จะถึงปราสาทเชอนองโซ (Chenonceau) พระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 โปรดเสด็จมาที่นี่ ต่อมาตกเป็นสมบัติของพระเจ้าอองรีที่ 2 พระโอรสของพระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 พระเจ้าอองรีที่ 2 ทรงอภิเษกกับพระนางแคเธอรีน (Catherine de Medici) แต่ทรงโปรดสาวงามนางหนึ่งและได้ยกปราสาทเชอนองโซให้เป็นที่อาศัยของพระสนมดิอาน (Diane de Poitiers) ดิอานโปรดปรานปราสาทแห่งนี้มาก ได้สร้างสะพานเชื่อมจากปราสาทไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำแชร์
ต่อมาเมื่อพระเจ้าอองรีที่ 2 เสด็จสวรรคต พระนางแคเธอรีนได้ยึดปราสาทเชอนองโซจากพระสนมดิอาน และเสด็จประทับที่ปราสาทแห่งนี้แทน พระนางได้สร้างปราสาทสองชั้นเหนือสะพานของดิอาน ตอนเย็นปราสาทแห่งนี้จะเรืองรองด้วยแสงไฟจากงานเลี้ยงรื่นเริง ซึ่งส่องแสงสะท้อนบนน้ำที่นิ่งสงบของแม่น้ำแชร์
ปราสาทเชอแวร์นี (Cheverny) สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1924-1930 ปราสาทแห่งนี้ตกเป็นสมบัติของพระเจ้าอองรีที่ 2 ซึ่งยกให้พระสนมดิอาน แต่ดิอานโปรดปรานปราสาทเชอนองโซมากกว่า จึงขายปราสาทแห่งนี้ให้เจ้าของเดิม
ปราสาทอองบัวซ์ (Amboise) ที่สวยงามแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในคริสตศตวรรษที่ 11 ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระราชวังหลวงในช่วงปีคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 กษัตริย์ของฝรั่งเศสหลายพระองค์โปรดที่จะประทับ ณ ปราสาทแห่งนี้ โดยเฉพาะพระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 ผู้ชักชวนให้ลีโอนาร์โด ดาวินชี มาอยู่ที่เมืองนี้ และได้นำศิลปะแบบเรอเนซองส์ของอิตาลีเข้ามายังบริเวณแถบนี้ด้วย
บ้านของลีโอนาร์โด ดาวินชี สมัยที่ย้ายมาอยู่ที่ลุ่มน้ำลัวร์ เขาใช้ชีวิตในช่วงสามปีสุดท้ายที่นี่ และสิ้นใจในปี ค.ศ.1519
ปราสาทบลัวส์ (Blois) ใช้เวลาถึง 4 ศตวรรษในการสร้าง สถาปัตยกรรมจึงเป็นส่วนผสมของศิลปะในช่วงเวลาดังกล่าว จริง ๆ ปราสาทบลัวส์ประกอบไปด้วยปราสาท 4 หลังในสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกันในศิลปะแบบกอธิกส์ เรอเนซองส์ อิตาเลียน และ เฟรนช์คลาสสิกสไตล์ ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือบันไดวน และลวดลายศิลปะด้านหน้าอาคาร
ปราสาทอาเซย์-เลอ-ริโด (Azay-le-Rideau) เป็นปราสาทเล็ก ๆ แต่มีเสน่ห์ดึงดูดมากพอที่จะเป็นที่ประทับของกษัตริย์ฝรั่งเศสถึงสามพระองค์ สร้างในศิลปะเรอเนซองส์แบบอิตาเลียน ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ได้รับการบูรณะดูแลดีที่สุดแห่งหนึ่งในลุ่มแม่น้ำลัวร์
ปราสาทอุสเซ่ (Usse) ด้วยบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติก ว่ากันว่า Charles Perrault ซึ่งเป็นผู้แต่งนิทานเรื่องเจ้าหญิงนิทรา ได้แรงดลใจในการประพันธ์มาจากการเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้ในคริสตศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันเจ้าของปราสาทยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพื่อเป็นค่าดูแลและซ่อมแซมปราสาทที่ต้องใช้เงินมหาศาล
ปราสาทวิลองดรี (Villandry) ล้อมรอบด้วยสวนสวย ๆ แบบเรเนอซองส์
เมืองตูร์ (Tours) มีประชากร 140,000 คน ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำลัวร์ทางตอนเหนือและแม่น้ำแชร์ทางตอนใต้ มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน อาคารส่วนใหญ่ในเมืองจะมีสีขาวหลังคาน้ำเงิน
ในเขตเมืองเก่า ตรงกลางเป็นจัตุรัสชื่อว่า Place Plumereau มีบ้านเรือนในยุคกลางซึ่งบางส่วนเป็นไม้ซุง มีร้านอาหารและผับตั้งเรียงรายเต็มไปหมด
โบสถ์แห่งเมืองตูร์ สร้างอุทิศแด่บิชอปแซงต์กาเตียง (Saint-Gatien) เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1170 เพื่อแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ในสงครามเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้ แต่สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นศิลปะแบบกอธิกส์ยุคศตวรรษที่ 15
รูปกษัตริย์ฝรั่งเศสที่เคยประทับอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำลัวร์แห่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น