วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รักษาหวัดวิธีไหนดีที่สุด

เหตุการณ์น้ำท่วมจะส่งผลโรคภัยไวรัสมาใกล้ตัว เชื้อไวรัสที่คุ้นเคยก็ต้องเป็นเชื้อหวัด โรคฮิตที่มาเยี่ยมเยือนกันทุกปี ดูแลตัวเองวันนี้จึงพามารู้ทันหวัดและขั้นตอนการรักษาอย่างได้ผล 
มาเริ่มด้วยการทำความรู้จักเชื้อหวัดกันเลย

โรคหวัด หรือโรคเยื่อจมูกและคออักเสบเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้แก่ จมูกและคอ เป็นกันมากในฤดูฝนและฤดูหนาว หรือในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง มักมีระยะโรคอยู่ที่ประมาณสามถึงห้าวัน เชื้อโรคที่ทำให้เป็นไข้หวัดคือเชื้อไวรัส

ลักษณะอาการของหวัด 

ปกติจะเริ่มด้วยอาการเจ็บคอแล้วหลังจากนั้นอาการต่างๆ จะเกิดเพราะร่างกายสร้างกลไกในการสกัดกั้นเชื้อโรค เช่น การจาม, น้ำมูกไหล, ไอ เนื่องจากร่างกายต้องการขับเชื้อออกมาและการอักเสบเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการเพิ่มเติมอีกคือ รู้สึกอ่อนเพลีย ครั่นเนื้อตัว เบื่ออาหาร มีน้ำมูก คัดจมูก ปวดหัวและเจ็บคอเล็กน้อย ไอแห้งหรือไอมีเสมหะปนไม่มาก มีไข้เป็นพักๆ 

รักษาหวัดวิธีไหนดีที่สุด
การแพร่เชื้อ  โรคหวัดเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย โดยวัยเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงเนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำแล้วมีพฤติกรรมชอบคลุกคลีกัน ทางเข้าของเชื้อไวรัสคือ ทางตาและจมูกแล้วเข้าสู่กล่องเสียง เชื้อหวัดจะติดต่อมาจากน้ำมูกและน้ำลายขณะที่ไอหรือจาม ติดต่อได้ทั้งการสูดละอองโดยตรง หรือการสัมผัสกับสิ่งที่มีเชื้อติดอยู่ เช่น ของใช้ผู้ป่วย ที่จับประตู ไม่ก็เม้าส์ที่อยู่ในมือเราตอนนี้นี่ล่ะ!! 

ป้องกันการติดเชื้อ

ด้วยการไม่เข้าใกล้คนเป็นโรคหวัด กินวิตามินซีสร้างภูมิต้านทาน หากเป็นโรคหวัดเสียเอง ให้หาผ้าปิดปากและจมูกเอาไว้ หากไม่ได้ใช้ผ้าปิดปากเวลาที่ไอหรือจามให้ใช้กระดาษชำระปิดปากและจมูกกันเชื้อแพร่กระจาย 

วิธีการรักษา 

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่ายังไม่มียารักษาโรคหวัดได้โดยตรง เพราะเป็นไวรัสที่ร้ายกาจมาก แต่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเราสามารถต่อสู้กับโรคหวัดได้ ร่างกายจะทำการสร้างภูมิคุ้มกันและจัดการกับเชื้อโรคแปลกปลอมดังนั้นหากหวังจะรักษาเชื้อโรคหวัด การนอนหลับพักผ่อน ฟื้นฟูสภาพร่างกายให้แข็งแรงได้ผลดีกว่าการกินยาอีกนะ ลองมาอ่านอย่างละเอียดกันเลย เมื่อรู้ตัวเองว่าเป็นหวัดให้รีบทำการรักษาด้วย

วิธีต่างๆ ทำได้ดังนี้

พักผ่อนให้เพียงพอ โดยการนอนยาวเหมือนเดิม เมื่อเราพักผ่อนเพียงพอ ระบบต่างๆ ภายในก็ทำงานได้ดีด้วย โดยเฉพาะการต่อต้านเชื้อโรคหวัด ร่างกายจะผลิตโปรตีนขนาดใหญ่ในระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อตรวจจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกายและสร้างเม็ดเลือดขาวมาช่วยทำลายไวรัสอีกแรง การที่ไม่พักผ่อนฝืนใช้ร่างกายทำงานหนัก จะเสี่ยงให้อาการหวัดหนักจนรักษาให้หายยาก

กินอาหารต้านหวัด จะเป็นอีกตัวช่วยสำคัญให้หายเร็ว เริ่มจากการดื่มน้ำเปล่าในปริมาณมาก เพื่อลดไข้และชดเชยน้ำที่ร่างกายเสียไปจากการตัวร้อน กินอาหารอ่อนย่อยง่าย อย่างเช่น ข้าวต้ม, ซุป, โจ๊ก เสริมด้วยผลไม้และผักพวก ต้นหอม, กระเทียม, ขิง ช่วยต้านหวัดได้ดี 

กินยา หลังจากทำสองอย่างข้างต้น แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ให้กินยาเพื่อช่วยระงับอาการต่างๆ เช่น ยา แอสไพริน หรือพาราเซตามอล เพื่อลดไข้ ส่วนอาการอื่นๆ อย่างอาการไอ, เจ็บคอ, มีน้ำมูก ถ้าไม่หนักไม่แนะนำให้กินยา เพราะการกินยาไม่ช่วยในการรักษาโรคหวัด 

ส่วนวิธีที่ดีสุดยอดที่สุดในการรักษาคือ “ไม่เป็นมันเสียเลย” ด้วยการดื่มน้ำมากๆ เป็นประจำ กินอาหารครบห้าหมู่ กินผักผลไม้ เสริมวิตามินซี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ใส่ใจสุขภาพในยามที่อากาศเปลี่ยนแปลง

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The Starry Night : คืนที่ดาวพราวฟ้า

 ภาพนี้เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ ขนาด 72 x 92 เซนติเมตรค่ะ วาดขึ้นที่ Saint-Remy ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 1889 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ The Museum of Modern Art เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
Vincent William Van Gogh เป็นศิลปินแนว Impressionism ชื่อก้องโลกชาวดัตช์ เกิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1853 เขามีชีวิตที่แสนอาภัพ ตลอด 10 ปีที่ประกอบอาชีพเป็นจิตกร เขาไม่ประสบความสำเร็จเลย ภาพของเขาขายได้เพียงภาพเดียวเท่านั้นคือภาพ The Red Vineyard หลังจากที่ตัดหูข้างซ้ายของตนเองเพราะมีปัญหากับ Gauguin เขาก็ถูกส่งตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลโรคจิต ระหว่างนี้เขาได้วาดภาพหลายภาพ รวมทั้งภาพ The Starry Night ชิ้นนี้ จากนั้นเขาก็ฆ่าตัวตายในวันที่ 27 กรกฎาคม 1890 และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา
ภาพ The Starry Night ถูกวาดขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1889 ในขณะที่เขาพำนักอยู่ที่โรงพยาบาลประสาท Saint Paul de Mausole ในเมือง Saint-Remy ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเขาย้ายไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ.1889 โดยมีน้องชายส่งเงินค่ารักษาไปให้

ระหว่างพักรักษาตัวอยู่ในโรง พยาบาลโรคประสาทที่ Saint-Remy เขาได้เขียนจดหมายไปหาน้องชายชื่อ ธีโอ ว่า "เมื่อเช้ามืดวันนี้ ก่อนตะวันขึ้นนานอยู่ ฉันมองออกนอกหน้าต่างไป ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากดาวรุ่งที่ดูดวงใหญ่ยิ่งนัก" ดาวรุ่งที่เขากล่าวถึงคือ ดาวศุกร์ค่ะ ซึ่งก็น่าจะเป็นดาวดวงใหญ่ระยิบระยับด้วยเป็นสีขาวที่อยู่ตรงกลางค่อนไปทาง ซ้ายในภาพวาดของเขานั่นล่ะ Van Gogh ไม่ได้นอนถึงสามคืนติดๆ กันเพื่อวาดภาพนี้ ซึ่งเขามองเห็นจากหน้าต่าง เพราะว่า "ยามค่ำคืนเป็นเวลาที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต และมีสีสันตระการตาไปยิ่งกว่ายามวันเป็นยิ่งนัก"
ในการวาดภาพนี้ Van Gogh ไม่ได้เพียงแค่บันทึกวิวจากหน้าต่างเท่านั้นนะคะ แต่เขาได้วาดภาพนี้ขึ้นจากจินตนาการของเขาด้วย ยอดแหลมของอาคารสีดำแสดงถึงโบสถ์ทั่วไปในฮอลแลนด์ บ้านเกิดของเขา แนวต้นไซเปรสในภาพนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของป่าช้าหรือความตาย โดยเขาได้วาดให้ดูเหมือนเปลวไฟที่เชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินกับสรวงสวรรค์ เพราะสำหรับ Van Gogh แล้ว ความตายไม่ใช่ความร้ายกาจน่าสะพรึงกลัว แต่กลับเป็นหนทางไปสู่สรวงสวรรค์ของเขา...
"... มองดูดาวครั้งใด มักทำให้ฉันฝันไฝ่ไปเรื่อย... ฉันมักถามตัวเองเสมอว่า ทำอย่างไรนะ ฉันถึงจะได้เดินทางไปยังจุดขาวพราวพร่างกลางฟ้ามืด อย่างนี้ได้ง่ายๆ เหมือนเราเดินทางไปหาจุดดำบนแผนที่ประเทศฝรั่งเศสได้ไม่ยาก เช่น ด้วยการจับรถไฟไปเมืองทาราซอนหรือโรน เราก็น่าจะขี่ความตายไปหาดวงดาวได้เช่นกัน"
.......................................

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

6 น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก

**มีเรื่องถกเถียงกันเรื่องน้ำตกว่าที่ไหนสวยกว่ากัน แบบว่ารักพี่เสียดายน้อง... อันนี้ เห็นว่าแล้วแต่มุมมอง คือ "มองเห็นความสวยในแต่ละมุมบวกกับจินตนาการของคนมอง" **

Plitvice falls (น้ำตกพลิทไวซ์ โครเอเชีย)

อยู่ในอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทไวซ์ : Plitvice Lakes National Park ตั้งอยู่ในดินแดนทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรป ในส่วนของประเทศโครเอเชีย(Croatia) แม่น้ำโครานา(Korana) ทำให้เกิดทะเลสาบ 20 แห่งไหลผ่านหินปูนและหินชอล์ก ระหว่างทะเลสาบมีน้ำตกหลายแห่งและชั้นหลากหลายทีชวนมหัศจรรย์ หนึ่งในป่าไม้ที่มีอายุมากรุ่นสุดท้ายในยุโรป ภูมิประเทศเป็นที่มหัศจรรย์บ่งบอกถึงสภาพความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ ทะเลสาบถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ชั้นบนและชั้นล่าง

ธรรมชาติของอุทยานแห่งชาติทะเลสาบพลิทไวซ์ เป็นสถานที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาอย่างมหัศจรรย์ให้สัมผัสที่แตกต่างจากที่ อื่นทั่วโลก นักท่องเที่ยวจึงให้ความสนใจเป็นอย่างมาก การสร้างสรรค์รูปร่างหน้าตาของที่พักและ ทึ่งกับความงามของพื้นที่มาจากของธรรมชาติเองที่มีความแตกต่างและกลมกลืน ของรูปร่างและสีสันในแต่ละฤดูกาล หลากหลายเงื่อนไขพื้นฐานร่วมกันของลักษณะธรรมชาติ

การเปลี่ยนของสภาพอากาศตามฤดูกาลระหว่างชายฝั่ง และเขตภาคพื้นทวีปมวลอากาศขนาดเล็กจำนวนมากทำให้เกิดฤดูร้อนแสนสบายและแสง แดด ขณะที่ส่วนอื่นยังคงเป็นฤดูหนาวต่อเนื่องไประยะยาวทั้งอากาศเย็นที่รุนแรง และหิมะจำนวนมาก มีพื้นที่ป่าไม้ที่กว้างใหญ่ซ้ำซ้อนในเขตพื้นที่อุทยาน บางส่วนของอุทยานถูกคุ้มครองเป็นพิเศษเป็นป่าสงวน พฤกษชาติถูกกำหนดเป็นลักษณะของป่ายุคแรกของโลก สถานที่และเงือนไขการความเป็นอยู่ที่หลากหลาย ทำให้เป็นไปได้ว่าจำนวนของชนิดของพืชและสัตว์น้ำและสัตว์บกในเขตพื้นที่ของ อุทยาน จะเจริญเติบโตต่อไปโดยไม่มีผลกระทบ
อุทยานแห่งนี้ได้จัดเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก(UNESCO) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979

อ่านเพิ่มเติม : Plitvice Lakes National Park 

Jiulong falls (น้ำตกจิ่วหลง)

 
น้ำตกจิ่วหลง หรือน้ำตกเก้ามังกร เป็นน้ำตกที่สวยที่สุด 1 ใน 6 แห่งของจีน โดยการจัดอันดับของ Chaina National Geography Magazin
น้ำ ตกจิ่วหลง อยู่ที่ Luoping City, Qujing City of Yunnan Province มีปริมาณการไหลของน้ำโดยเฉลี่ย 18.3 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่วนของน้ำตกที่กว้างที่สุด คือ 112 เมตร และสู 56 เมตร สามารถได้ยินเสียงน้ำตกไปไกลถึง 2 กม.
ฤดูท่องเที่ยวของที่นี่ คือ Summer and autumn.

 อ่านเพื่มเติม : http://www.luopan.com/t/en_US/655000L000001.html

 Huangguoshu Falls (น้ำตกหวงกว่อซู่)

น้ำตกหวงกว่อซู่ น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศจีน สูง 68 เมตร กว้าง 84 เมตรอันตระการตา และจุดเด่นของน้ำตกหวงกว่อซู่ คือเป็นน้ำตกที่สามารถชมวิวได้ทั้งจากทั้งด้านหน้าและด้านหลังน้ำตก เป็นอีกความงามที่ธรรมชาติได้บรรจงไว้ให้ น้ำตกหวง กว่อซู่ ประกอบด้วย 3 อัศจรรย์ คือเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย วิวสวยมหัศจรรย์ชมได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ฟองของน้ำใสกระจายดุจดังสำลี ยามกลางวันจะเกิดสีรุ้ง และสายหมอกบางๆ ในยามเย็น น้ำตกมีหลายชั้นจะเป็นน้ำตกซ้อนน้ำตก ถ้ำสุ่ยเหลียน ถ้ำที่อยู่ด้านหลังของน้ำตก และมีน้ำตกลูกอยู่ด้านในถ้ำอีกที ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องไซอิ๋ว นำท่านเดินผ่านม่านน้ำตก ชมสายน้ำที่ตกย้อยผ่านหน้าท่านประดุจม่านผืนใหญ่ 

อ่านเพื่มเติม : http://china.citw2008.com/html/2006/1104/955.shtml

Victoria Falls (น้ำตกวิคตอเรีย)

น้ำตกวิกตอเรีย (Victoria Falls) หรือโมซิ-โอวา-ทุนยา (Mosi-oa-Tunya; ควันที่ส่งเสียงร้องคำราม)ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของประเทศแซมเบีย และ ประเทศซิมบับเว เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ถูกค้นพบครั้งแรกโดย ดร.เดวิด ลิฟวิงสโตนในปี ค.ศ. 1855 ซึ่งเป็นผู้ตั้งชื่อน้ำตกนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่พระราชินีวิกตอเรีย

น้ำตกวิกตอเรียเกิดจากแม่น้ำซัมเบซีซึ่งเป็นแม่น้ำกั้นพรมแดนของสองประเทศ ตกลงมาสู่แอ่งลึก น้ำตกมีขนาดกว้างกว่า 1690 เมตร สูงประมาณ 60-100 เมตร น้ำตกวิกตอเรียสามารถแบ่งเป็น 4 ส่วนย่อย ได้แก่ น้ำตกปีศาจ น้ำตกหลัก น้ำตกสายรุ้ง และน้ำตกตะวันออก ไอน้ำจากน้ำตกวิกตอเรียสามารถมองเห็นได้จากระยะทาง 20 กิโลเมตร.... น้ำตกวิคตอเรีย เป็นน้ำตกที่มีปริมาณน้ำไหลผ่านมากที่สุด

น้ำตกวิกตอเรียได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2532 ปัจจุบันน้ำตกวิกตอเรียเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งสร้างรายได้ที่สำคัญ ของประเทศแซมเบียและประเทศซิมบับเว จึงมีการสร้างโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในทั้งสองประเทศ แต่การพัฒนาเหล่านี้ขาดการควบคุมจัดการที่ดีองค์การยูเนสโกจึงเคยพิจารณาจะ ถอนน้ำตกวิกตอเรียออกจากการเป็นมรดกโลก


Iguazu Falls (น้ำตกอีกวาซู) 

น้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls) คำว่าอีกวาซู แปลว่า "สายน้ำอันยิ่งใหญ่" เป็นคำมาจากภาษากวารานี (Guarani)ชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม น้ำตกอีกวาซูตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศ อาร์เจนตินา เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก โดยใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาประมาณ 30 เท่า อย่างไรก็ตามขนาดของน้ำตกใกล้เคียงกับน้ำตกวิกตอเรียในทวีปแอฟริกา

น้ำตกอีกวาซูเกิดจากแม่น้ำอีกวาซูซึ่งไหลมาจากที่ราบสูงปารานา ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบต่ำกว่า จึงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นแนวยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูงกว่า 269 ฟุต ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่อีก 275 แห่ง ในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมปริมาณน้ำมีมากถึงกว่า 13.6 ล้านลิตรต่อวินาที แต่ในช่วงฤดูร้อน คือระหว่างเมษายนถึงเดือนตุลาคม ปริมาณน้ำจะลดลงเหลือ 2.3 ล้านลิตรต่อวินาที บริเวณรอบ ๆ น้ำตกจะเกิดละอองน้ำอยู่ตลอดเวลาและมีเสียงดังไปไกลกว่า 24 กิโลเมตร บนฝั่งประเทศบราซิลจะมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและงดงาม แต่ทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินาสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้กว่า

 ที่มา : วิกิพีเดีย

Thi lo su (น้ำตกทีลอซู)

น้ำตกทีลอซู ตั้ง อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า น้ำตกดำ มีลักษณะเป็นน้ำตกภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกล้อท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตร ล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเชีย

ตามความจริงต้องออกเสียงว่า "ทีลอชู" และเป็นคำนามในภาษากะเหรี่ยงแปลว่า "น้ำตก" ชื่อ "ทีลอซู" เป็นความพยายามแปลความหมายทีละคำ โดย "ที" หรือ "ทิ" แปลว่า "น้ำ" "ลอ" หรือ "ล่อ" แปลว่า "ตก" แต่ "ชู" ไม่มีความหมายใกล้เคียง ดังนั้น จึงมีความพยายามทำให้เป็นคำที่มีความหมาย เนื่องจาก "ซู" แปลว่า "ดำ" จึงนำไปสู่การเรียกว่า "ทีลอซู" และแปลว่า "น้ำตกดำ"

ทีลอซู ได้รับคำกล่าวขานถึงว่าเป็นน้ำตกที่สวยงาม และมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน ระหว่าง 1 มิ.ย. - 31 พ.ย. ปริมาณน้ำฝนที่มากจะเพิ่มปริมาณน้ำในลำธารทำให้สายน้ำตกกว้างใหญ่กว่าฤดู อื่น แต่เป็นช่วงที่ทางรถเข้าน้ำตกปิด เพื่อป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้เส้นทางและถนอมสภาพทางไม่ให้เสียหาย นักท่องเที่ยวอาจเลี่ยงใช้เส้นทางนี้ได้ โดยการซื้อทัวร์กับบริษัทนำเที่ยวซึ่งจะเดินทางด้วยเรือยางและเดินป่าอีกราว 12 กม.แต่หากมาท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาว - ฤดูร้อนระหว่าง 1 ธ.ค. - 31 พ.ค. ก็สามารถใช้ทางรถยนต์เข้าน้ำตกได้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เที่ยวได้สะดวกที่สุด ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไปกลับหรือพักค้างแรม

ประวัติ น้ำตกทีลอซู

ทีลอซูได้รับการค้นพบโดยพรานชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาล่าสัตว์ ก่อนที่ ตชด.ได้บินเข้ามาสำรวจในพื้นที่และได้พบน้ำตกทีลอชู ต่อมากรมป่าไม้จะประกาศให้บริเวณนี้เป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง และหลังจากปี พ.ศ. 2528 ที่ อ. ปรีชา อินทวงศ์ พาบุคลากรของนิตยสารท่องเที่ยวแคมปิง เข้าไปสำรวจ น้ำตกทีลอซู ก็เป็นที่รู้จักและเป็นที่ท้าทายของนักเดินทาง "ทีลอซู" แปลว่าน้ำตกใหญ่หรือน้ำตกดำ น้ำตกนี้ซ่อนอยู่ในหลืบผาอันกว้างใหญ่ สายน้ำเกิดจากห้วยกล้อทอซึ่งมีแดนกำเนิดอยู่บนดอยผะวี แล้วไหลลงแม่น้ำแม่กลองที่ ต. แม่ละมุ้ง อ. อุ้มผาง

การค้นพบที่ กล่าวถึงเป็นการพบของคนไทย จากงานของ ประชา แม่จัน ในหนังสือ "อุ้มผาง เบื้องหลังธรรมชาติ"เขียนถึง บริเวณที่ตั้งแคมป์ทีลอชู เป็นบ้านเก่าชาวปกากะญอ (กะเหรี่ยง) เรียกว่า "ว่าชื่อคี" บริเวณที่จอดรถเป็นที่นาเก่าของชาวบ้านที่นี่ การที่เป็นบ้านร้างเพราะชาวบ้านบางส่วนได้ย้ายไปอยู่บ้านโขะทะเพื่อเข้าร่วม กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่เหลือย้ายเข้ามาอยู่กับฝ่ายรัฐบาล ดังนั้น ชาวปกากะญอที่นี่รู้จักน้ำตกทีลอชูมาช้านานแล้ว

ที่มา : วิกิพีเดีย

Angel Falls (น้ำตกเเอนเจล)
น้ำตกแอนเจล(Angel falls)ตั้งอยู่กลางป่าดงดิบประเทศเวเนซุเอลาเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก
สูงกว่าน้ำตกไนแองการา 18 เท่า มีความสูงกว่า 979 เมตร ซึ่งผู้ทีจะเข้าไปชมน้ำตก สามารถเข้าไปทางเรือและเครื่องบินเท่านั้น
ชื่อน้ำตกมาจากนักบินชาวอเมริกัน ชื่อ จิมมี เอเนเจล ผู้ค้นพบน้ำตกเป็นคนแรก เมื่อปี ค.ศ. 1935

อ่านเพิ่มเติม : http://www.wonder7th.com/wonder_natural/013angel_falls.htm

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ํYoghurT

***โยเกิร์ตเป็นคำผสมของชนเผ่าทราเซียน ระหว่าง คำว่า "yog" แปลว่า หนาหรือข้น และ “urt” แปลว่า น้ำนม รวมกันเป็น "yoghurt”

โดยจะเก็บรักษาน้ำนมไว้ในถุงที่ทำจากหนังแกะ เมื่อออกเดินทางไปที่ไหนก็เอาถุงคาดเอวไว้และขณะที่โดนกับความร้อนของร่างกายทำให้จุลินทรีย์ในน้ำนม เกิดการหมักและเปลี่ยนน้ำนมเป็นโยเกิร์ต...

ทั้งนี้ในยุคโบราณราวศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ก่อนคริสตกาล ชาวทราเซียนมีวิธีการเก็บรักษาน้ำนมไว้ในถุงที่ทำจากหนังแกะ เวลาไปไหนต่อไหนก็เอาถุงนี้คาดเอวไว้ ความอบอุ่นจากร่างกายร่วมกับจุลชีพที่มีอยู่ในหนังแกะ ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาการหมักขึ้น น้ำนมในถุงก็กลายสภาพเป็นโยเกิร์ตไป

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า สิ่งที่มีมาก่อนโยเกิร์ต น่าจะเป็นน้ำนมหมักที่ใช้ดื่ม เรียกว่า คูมิส (Kumis)น้ำนมชนิดนี้ทำมาจากน้ำนมม้า ที่อาจมีต้นกำเนิดมาจากชนเผ่าเรร่อนที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากทวีปเอเชียมายังคาบสมุทรมัลข่าน ในปี ค.ศ.681 แม้ว่าโยเกิร์ตจะถือกำเนิดในบัลแกเรียมานานแต่ในยุโรปตะวันตกปรากฏบันทึกเกี่ยวกับโยเกิร์ตของศาสตราจารย์คริสโต โชมาคอฟรายงานไว้ในหนังสือ Bulgarian Yoghurt-Health and Longerity ที่ระบุว่าในศตวรรษที่ 16 เมื่อกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศส ทรงประชวรมีพระอาการปั่นป่วนในท้อง แพทย์ชาวตุรกีผู้หนึ่งจึงทำการรักษาโดยให้เสวยโยเกิร์ตที่นำมาจากบัลแกเรีย 

นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต - yoghurt (ภาษาอังกฤษใช้คำนี้เรียกรวม ๆ ทั้งนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ

มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ
1. เป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเป็นน้ำคล้ายเครื่องดื่ม
2. เป็นนมเปรี้ยวที่มีลักษณะเหลวข้นที่เรียกว่า โยเกิร์ต

แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยวโดยมีความเป็นกรด-เบสอยู่ระหว่าง 3.8-4.6 วิธีการทำโยเกิร์ตในสมัยโบราณ จากบันทึกหลายๆแห่งเขียนตรงกันว่าโยเกิร์ตเป็นอาหารที่รวมอยู่ในโภชนาการของชนเผ่าทราเซียน อันเป็นบรรพบุรุษเก่าแก่ที่สุดของชาวบัลแกเรีย โดยชาวทราเซียนนี้ทำมาหากินด้วยการประกอบอาชีพเลี้ยงแกะ

*เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
*โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
*โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5
*โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
*จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกาย แต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดี ที่ร่างกายต้องการเพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
*แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
*ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก
*เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

***ปิดท้ายด้วยการให้ความรู้เพิ่มเติมกับผู้อ่านสักนิดว่า 
โยเกิร์ต เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และสเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติค ทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว ก่อนจะมีการพัฒนารสชาติให้ถูกปากผู้บริโภคเรื่อยมา

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผลมหัศจรรย์ (miracle fruit)

เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักความมหัศจรรย์ของพืชนี้ดี!! สิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นเมื่อเรากินผลสีแดงของมัน และตามด้วยของเปรี้ยวๆ ตามไป หลังจากนั้นไม่นานความเปรี้ยวก็เปลี่ยนเป็นความหวานไปในบัดดล! แม้จะมีการศึกษามากมายเกี่ยวกับสารและคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความหวานนี้ขึ้น แต่ยังไม่มีนักวิจัยกลุ่มไหนสามารถอธิบายกลไกการเกิดนี้ได้เลย จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมานี้ ทีมนักวิจัยญี่ปุ่นและฝรั่งเศสสามารถอธิบายกลไกดังกล่าวได้สำเร็จเป็นครั้งแรก!


ต้น มหัศจรรย์ หรือ Miracle fruit เป็นพืชวงศ์ Sapotaceae เป็นไม้พุ่ม สูงเต็มที่ไม่เกิน 4.5 เมตร มีต้นกำเนิดจากประเทศกานาแถบแอฟริกาตะวันตกซึ่งมีสภาพภูมิอากาศคล้ายคลึงกับ ภาคใต้ของประเทศไทย

ชื่อ "ไม้มหัศจรรย์" ได้มาเพราะหลังจากกินผลสุกแก่ที่มีสีแดงเข้าไป แล้วกินของมีรสเปรี้ยวตาม เช่น มะนาว มะยม ระกำ แทนที่จะเปรี้ยวตามธรรมชาติ รสชาติจะกลับกลายเป็นหวาน ด้วยมิราเคิลมีสารมิราคูลิน ซึ่งเป็นโปรตีนที่จะส่งสัญญาณไปทำให้ต่อมรับรสเปรี้ยวไม่ทำงาน และให้ต่อมรับรสหวานทำงาน ชาวไต้หวันเขาเรียกมิราเคิลว่า เสินมี่กั่ว เสิน แปลว่าพระเจ้า มี่แปลว่าความลับ กั่ว แปลว่าผลไม้ สรุปคือผลไม้ซึ่งเป็นความลับของพระเจ้า มิราเคิลต้องการดินที่มีสภาพอินทรียวัตถุสูง ควรเป็นดินร่วนโปร่ง หากเน้นให้ได้ผลผลิตต้องใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 16 16 16 อาจสลับกับขี้ค้างคาว หรือใช้ขี้ค้างคาวอย่างเดียว ไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีก็ได้ ปริมาณการใส่ ต้นเล็ก 1 ช้อนแกง ต่อ 15 วัน แต่ถ้าอยู่ในดินก็ 5-10 ช้อนแกง ใส่ตามในพุ่ม ไม่ใส่ชิดโคน  เมื่อต้นมี อายุได้ 2 ปีขึ้นไปก็จะเริ่มออกดอกมากในช่วงปลายฤดูหนาว อย่างไรก็ตามต้นมิราเคิลเป็นไม้ผลที่ชอบความชื้นสูง ไม่ชอบสภาพแดดจัดแต่ต้นจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพกลางแจ้งจึงควรพรางแสงด้วย ตาข่ายพรางแสงประมาณ 50-60% และเนื่องจากเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กมีความสูงเต็มที่ไม่เกิน 2 เมตร ปัญหาที่จะตามมาเมื่อต้นให้ผลผลิตมากอาจจะมีแมลงวันทองมาเจาะทำลายได้ ควรทำมุ้งครอบ อย่าฉีดพ่นสารฆ่าแมลง จะได้เป็นผลไม้ปลอดสารพิษ
ฝ่าย วิชาการสถาบันการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลการเข้ามาเมืองไทยของมิราเคิล ว่า นักวิชาการที่ไปอบรม ณ ประเทศออสเตรเลีย ได้นำเมล็ดมิราเคิลมาปลูก ในระยะแรกมีจำนวนไม่กี่ต้น แต่ได้ขยายพันธุ์ไว้ และมีคนสนใจมากรวมถึงมีชาวญี่ปุ่นและไต้หวันที่สั่งซื้อต้นจำนวนมาก ขณะนี้สถาบันการแพทย์แผนไทยมีการศึกษาการนำผลมิราเคิลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทางด้านสมุนไพรอย่างจริงจัง ถึงแม้มิราเคิลจะไม่ใช่ผลไม้พื้นเมืองของไทย แต่มีข้อมูลทางการเกษตรที่ยืนยันได้ว่าสามารถปลูกให้ออกดอกติดผลได้ในสภาพ ภูมิอากาศของประเทศไทย  มิราเคิลออกผลตลอดปี แต่ช่วงหน้าฝนอาจจะลดลง เพราะความชื้นทำให้ดอกเป็นรา ปลายฝนไปแล้วจึงจะให้ผลผลิตค่อนข้างสูง บางต้นถึง 2,000 ผล ช่วงฤดูอื่นจะมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับจังหวะที่ดอกบาน ดอกมิราเคิลมีกลิ่นหอมคล้ายดอกราตรี ราคาขายต้นเล็กต้นละประมาณ 100 บาท ต้นใหญ่ประมาณ 1,200 บาท มิราเคิลมีจุดอ่อนคือเลี้ยงง่าย แต่ติดลูกยาก ดังนั้นต้นเล็กจะราคาถูก แต่พอติดผลจะราคาแพง บางที่อาจถึง 5,000 บาท ส่วนผลตกผลละราว 5 บาท

ต้นมหัศจรรย์เป็นต้นไม้ที่มีความสูงได้มากถึง 5 เมตรและได้รับพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ให้มีความสูงไม่มากนักเพื่อให้เหมาะกับการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน ดอกมีกลิ่นหอม ออกผลตลอดทั้งปี และผลแก่จะมีสีแดงสด ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นก็คือ หลังจากเรากินผลสีแดงของมันไป และตามด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวของอาหารนี้จะเปลี่ยนเป็นรสหวาน และอยู่ได้นานไม่ต่ำกว่า 1ชั่วโมง ซึ่งความรู้นี้มีนานมาหลายศตวรรษจากชาวแอฟริกาพื้นเมืองที่มักจะกินผลไม้ชนิดนี้ก่อนกินของเปรี้ยว
 ภาพโมเดลของสารมิราคูลิน (สีเขียว) ที่จับกับตัวรับรสหวาน (สีเทากับสีเหลือง) อย่างเหนียวแน่น (Koizumi et al., 2011)

ความมหัศจรรย์ในการเปลี่ยนรสเปรี้ยวให้เป็นรสหวานนี้ทำให้มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับสารสำคัญและคุณสมบัติของมัน จนในปี พ.ศ. 2511 ทั่วโลกจึงได้รู้ว่าสารที่ทำให้เกิดความหัศจรรย์นี้ก็คือ มิราคูลิน (Miraculin; MCL) โดยการศึกษาของ J.N. Brouwer สารมิราคูมินเป็นไกลโคโปรตีนที่ประกอบไปด้วยกรดอะมิโน 191ตัวและน้ำตาลโดยมีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ 13.9%ไม่มีสีและไม่มีรสชาติ มีการตั้งทฤษฎีกลไกการทำงานของสารนี้ว่า เมื่อเรากินลูกมหัศจรรย์สีแดงสดเข้าไป สารมิราคูลินจะจับกับตัวรับรสหวานในตุ่มรับรส (taste bud) และเปลี่ยนโครงสร้างของตัวรับ ทำให้ตัวรับรสหวานตอบสนองกับทั้งรสหวานและรสเปรี้ยว และเมื่อเรากินอาหารที่มีรสเปรี้ยวตามไป ตัวรับรสหวานก็ทำงานและส่งกระแสประสาทไปยังสมองบอกว่าอาหารนั้นมีรสหวานนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนักวิทย์คนใดทำการทดลองเพื่อยืนยันทฤษฎีดังกล่าว
 (A) ในสภาวะเป็นกลาง มิราคูลิน (ในรูป inactive) จะยับยั้งการทำงานของตัวรับรสหวาน แต่ในสภาวะเป็นกรด มิราคูลินจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและทำให้ตัวรับทำงานได้มากขึ้น ส่วน (B) เมื่อสภาวะเป็นกลางและมีสารให้ความหวานอื่นๆ รวมอยู่ด้วย มิราคูลินจะไปลดการทำงานของตัวรับ (Koizumi et al., 2011)

จนกระทั่งเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่นและฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์ความสำเร็จในการไขกลไกการทำงานของสารมิราคูลินลงในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) พวกเขาได้ทำการศึกษาการทำงานของสารมิราคูลินในตัวรับรสหวานทั้งของคนและหนูที่ดัดแปลง(มาจากเซลล์ไตของมนุษย์)เพื่อให้ทราบว่าบริเวณพื้นที่ใดของตัวรับรสหวานที่สารนี้ไปเกาะ พวกเขาพบว่า สารมิราคูลินจะไปเกาะกับตัวรับรสหวาน (ชื่อว่า hT1R2-hT1R3) อย่างเหนียวแน่น ในสภาวะที่เป็นกลาง (ไม่เป็นกรดหรือด่าง) มิราคูลินจะมีโครงสร้าง (‘inactive form’) ที่ไปยับยั้งการทำงานของตัวรับรสหวาน ทำให้เรารับรู้ว่ามิราคูลินไม่มีรสชาตินั่นเอง แต่ถ้ามีสารให้ความหวานอื่น (sweeteners) เกาะร่วมอยู่ด้วย มิราคูลินจะไปลดการทำงานของตัวรับรสหวานลง ทำให้เรารับรู้ถึงความหวานของสารให้ความหวานอื่นลดลง และเมื่ออยู่ในสภาวะเป็นกรด มิราคูลินจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (อยู่ในรูป 'activeform’) และกระตุ้นการทำงานของตัวรับรสหวานให้มากขึ้น ทำให้เราได้รับรู้รสหวานเมื่อกินอาหารที่มีรสเปรี้ยวตามไป (ยิ่งของกินมีรสเปรี้ยวมากเท่าใด เราก็จะรับรู้รสหวานมากขึ้นเท่านั้น) และยิ่งมีสารให้ความอื่นรวมอยู่ด้วย จะทำให้เรารับรู้ความหวานของสารให้ความหวานอื่นมากกว่าปกติ และเมื่อกลืนของเปรี้ยวไปแล้ว สารนี้จะกลับสู่ร่างเดิม ('inactive form') และเกาะติดแนบแน่นกับตัวรับนานประมาณ 1ชั่วโมง

การทำงานของตัวรับหวานต่อมิราคูลินในค่า pH ต่างๆ จะเห็นว่าตัวรับทำงานได้ดีในสภาวะที่เป็นกรด (Koizumi et al., 2011)

นอกจากนี้ พวกเขายังเทียบกลไกและคุณสมบัติของมิราคูลินกับสารที่แปลงความเปรี้ยวเป็นความหวานอีกอย่างหนึ่งคือ สารนีโอคูลิน (neoculin; NCL) ที่อยู่ในผลของต้นพร้าวนกคุ่ม (Lempah; Curculigo latifolia) ที่พบทางใต้ของประเทศไทยและทางตะวันตกของประเทศมาเลเซียแล้วพบว่า นีโอคูลินมีทั้งความเหมือนและความต่างกับมิราคูลิน สิ่งที่เหมือนกันคือ สารนี้ก็เกาะกับตัวรับรสหวาน และรับรู้รสหวานเมื่อกินอาหารที่มีรสเปรี้ยวเหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ สารนีโอคูลินมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกัน และมันเกาะกับตัวรับรสหวานคนละพื้นที่ อีกทั้งตัวมันเองมีรสหวานในสภาพที่เป็นกลาง และจะหวานมากขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพที่เป็นกรด

"ทานาคา" ต้นไม้อัศจรรย์อันลือชื่อของพม่า

ทานาคา (Tanaka) ต้นไม้อัศจรรย์อันลือชื่อของพม่า เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า LIMONIA ACIDISSIMA LINN. เนื้อไม้ทานาคาส่วนที่เป็นเปลือกและผิวเนื้อไม้จะมีกลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ มีสีออกเหลืองนวล พบมากทางภาคเหนือตอนล่างของพม่า สาวพม่ารู้จักใช้ทานาคามานานกว่า 200 ปี แทบทุกบ้านมักมีท่อนไม้ทานาคา วางไว้คู่กับกระจกเสมอ เวลาใช้ก็นำเอาท่อนไม้ทานาคามาฝนกับแผ่นหิน เจือด้วยน้ำเล็กน้อย แล้วใช้ทาเรือนร่างโดยเฉพาะใบหน้าจะเน้นมาก ทานาคา เป็นต้นไม้ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณของประเทศพม่า ลักษณะของลำต้นจะตั้งตรง สูงประมาณ 10 เมตร เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง กิ่งและก้านตั้งฉากกับลำต้น มีหนามยาวเล็กคล้ายกิ่งสั้นๆ ดอกเป็นช่อสีขาว ผลกลมสีเหลือง สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการขยายเมล็ด ซึ่งในประเทศไทยก็มีต้นไม้ต้นไม้ที่อยู่ในตระกุลเดียวกันกับต้นทานาคาคือ ต้นพญายา อาจารย์ วุฒิ วุฒิธรรมเวช กรรมการวิชาชีพแพทย์แผนไทยและอาจารย์พิเศษภาควิชาแพทย์แผนไทยของมหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า ต้นทานาคานอกจากจะใช้เป็นแป้งทาหน้าแล้ว ยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพร เช่นใบแก้โรคลมบ้าหมู ผลแห้งแก้พิษ แก้ไข้ ท้องอืดเฟ้อ บำรุงร่างกาย รากเป็นยาระบาย ขับเหงื่อ และลำต้นใช้ฝนกับน้ำสะอาดทาหน้าแก้สิวฝ้า ป้องกันการอักเสบของผิวหนัง บำรุงผิว มู่เอ หญิงสาวชาวพม่า วัย 22 ปี ลูกจ้างร้านขายของย่านตลาดริมเมย ชายแดนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก บอกเล่าขณะกำลังกรอกแป้งทานาคาใส่ถุงเตรียมวางขายว่า ตั้งแต่เป็นเด็กก็ได้เห็นชาวพม่าทั้งชายหญิงใช้แป้งทานาคา ทาหน้าก่อนออกจากบ้านเสมอเพื่อกันแดด พอเริ่มเข้าโรงเรียนแม่ก็จะทาให้ทุกวัน สมัยก่อนต้องนำท่อนไม้มาฝนกับแผ่นหิน แต่ปัจจุบันสะดวกขึ้นมีผงสำเร็จรูป เพียงผสมน้ำก็ทาได้เลย เมื่อใช้แป้งทานาคาทาหน้าแล้วจะรู้สึกเย็นที่ผิวตลอดเวลา แพทย์หญิงศิริลักษณ์ ชัยทรัพย์ ผู้ผลิตสมุนไพรบำรุงรักษาผิวพรรณ กล่าวว่าสมุนไพรที่ใช้ขัดผิวหน้าและผิวกาย โดยส่วนใหญ่แล้วแล้วจะมีไม้ทานาคาเป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น เพราะเป็นที่ยอมรับถึงสรรพคุณของไม้ทานาคาว่าช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประวัติตลาดสามชุก

 “สามชุก เป็นเมืองเล็กๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรี โดย ในอดีตสามชุกคือแหล่งที่ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติทั้งไทย จีน มอญ ฯลฯ มามีสัมพันธ์ต่อกันในลักษณะของการแลกเปลี่ยน และซื้อขายสินค้า จนพัฒนาไปสู่ การลงหลักปักฐาน สร้างเมืองที่มั่นคงขึ้นมาตาม ประวัติของเมืองสามชุก กล่าวไว้ว่า ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2437 ในสมัยรัชกาลที่ 5 เดิมชื่ออำเภอ “นางบวช” ตั้งอยู่บริเวณ ตำบลนางบวช โดยมีขุนพรมสภา (บุญรอด) เป็นนายอำเภอคนแรก ซึ่งยังมีภาพถ่ายปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปี 2457 ต้นรัชกาลที่ 6 ได้ย้ายอำเภอมาตั้งที่บ้าน “สำเพ็ง” ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญในสมัยนั้น จนกระทั่งปี 2481 สมัยรัชกาลที่ 8 ได้เปลี่ยนชื่อจาก “อำเภอนางบวช” มาเป็น “อำเภอสามชุก” และย้ายมาตั้ง อยู่ริมลำน้ำสุพรรณบุรี (ท่าจีน) ซึ่งแยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยผ่านคลอง มะขามเฒ่า
แต่เดิมบริเวณที่ตั้งอำเภอสามชุกเรียกว่า “ท่ายาง” มีชาวบ้านนำของป่าจากทิศตะวันตกมาค้าขายให้กับพ่อค้าที่เป็นชาวเรือ บ้างก็มาจากทางเหนือ บ้างก็มาจากทางใต้ เป็น 3 สาย จึงเรียกบริเวณที่ค้าขายนี้ว่า “ สามแพร่ง “ ต่อมาได้เพี้ยน เป็น สามเพ็ง และสำเพ็งในที่สุด ดังปรากฎหลักฐานกล่าวไว้ในนิทานพื้นบ้านย่านสุพรรณมีเรื่องกล่าวต่อไปว่า ในระหว่างที่คนมารอขายสินค้าก็ได้ตัดไม้ไผ่มาสานเป็นภาชนะสำหรับใส่ของขาย เรียกว่า “กระชุก” ชาวบ้านจึงเรียกว่า “สามชุก” มาถึงปัจจุบัน
อำเภอสามชุกเดิมมีพื้นที่ 774.9 ตารางกิโลเมตร ต่อมาในปี 2528 ได้มีการตั้งอำเภอหนองหญ้าไซ จึงแบ่งบางส่วนออกไป ยังคงเหลือเพียง 362 ตารางกิโลเมตร
ตลาดสามชุก เป็นตลาดสำคัญในการติดต่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าที่สำคัญในอดีต ตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีก่อน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสุพรรณบุรี แต่เมื่อถนนคือ เส้นทางจราจรทางบกที่เข้ามาแทนที่การเดินทางทางน้ำ ทำให้คนหันหลังให้กับแม่น้ำท่าจีน ความสำคัญของตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าริมน้ำเริ่มลดลง บรรยากาศการค้า ขายในตลาดสามชุกเริ่มซบเซา และเมื่อต้องแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และตลาดนัดภายนอก ทำให้ร้านค้าภายในตลาดต้องหาทางปรับตัว และเมื่อราชพัสดุ เจ้าของที่ดินที่ชาวบ้านเช่าที่ดินมายาวนาน ดำริจะรื้ออาคารตลาดเก่า สร้างตลาดใหม่ จึงทำให้ชาวบ้านพ่อค้าที่อยู่ในตลาดสามชุก ครูอาจารย์ที่เห็นคุณค่าตลาดเก่า รวมตัวเป็นคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกเชิงอนุรักษ์ระดมความคิด หาทางอนุรักษ์ตลาดและที่อยู่ของตนไว้ และหาทางฟื้นคืนชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เป็นที่มาของกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใช้การท่องเที่ยวศึกษาวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม ประวัติศาสตร์ชุมชน เป็นเครื่องมือการพัฒนาอาคารไม้เก่าแก่ ในตลาดสามชุก ที่ก่อสร้างเป็นแนวตั้งฉากกับแม่น้ำท่าจีน เป็นสิ่งบอกให้รู้ว่าเป็นลักษณะของตลาดจีนโบราณ เป็นชุมชนชาวไทย-จีน ที่ยังคงอยู่มาถึงปัจจุบัน ลวดลายฉลุไม้ที่เรียกว่าลายขนมปังขิง ซึ่งเท่าที่พบในตลาดนี้มีถึง 19 ลาย คือ ศิลปะตกแต่งอาคารไม้โบราณ ที่หาดูได้ยากแล้วในปัจจุบัน หากไม่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ก็ย่อมสูญหายไปเช่นเดียวกับตลาดโบราณอื่นๆนอก จากสถาปัตยกรรม อาคารไม้โบราณที่พบเห็นได้ตลอดแนวทางเดิน 2 ข้างทางเดินในตลาด วิถีชีวิตบรรยากาศภายในตลาดการค้าขายที่ยังคงรักษาวิถีแบบดั้งเดิมเช่นใน อดีต และบรรยากาศน้ำใจอัธยาศัยไมตรีของแม่ค้า ข้าวของเครื่องใช้ ขนมอาหารที่นำมาตั้งขายในตลาด เป็นสิ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ใช่สิ่งที่จำลองมาเพื่อให้ผู้ชมได้ดูชั่วครั้งชั่วคราว แต่เหล่านี้คือ วัฒนธรรมที่สืบเนื่องจากอดีต บ่มเพาะมาเป็น 100 ปี
นักท่องเที่ยวจะสามารถสัมผัสได้ ไม่รู้เบื่อ อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มท้องอย่างไม่รู้ตัว และทำให้ตลาดสามชุก แห่งนี้ได้รับขนานนามว่าตลาด 100 ปี พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่องของ..มะเขือเทศ

มะเขือเทศ สีสดใสสะดุดตา เห็นแล้วชวนรับประทานยิ่งนัก ทำเอาทั้งหลายท่านห้ามใจไม่อยู่ แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่เห็นเจ้ามะเขือเทศแล้วร้อง ยี้!! ไม่ว่าจะมาในแบบสดๆ หรือผ่านการแปรรูปมาแล้วก็ตาม ดังนั้นมะเขือเทศจึงมักกลายเป็นแค่เครื่องประดับอาหารจานอร่อยไปโดยปริยาย จะบอกให้นะคะว่า คุณกำลังบอกปัดสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไปอย่างน่าเสียดายค่ะ เพราะมะเขือเทศนั้นไม่ใช่ว่าจะสวยแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่ภายในยังมีคุณค่ามากมาย ที่ทำให้มะเขือเทศเป็นราชินีแห่งผักและผลไม้ไม่แพ้กับผักชนิดอื่นเช่นกัน จะเรียกว่างามทั้งนอกและในก็คงไม่ผิด การรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ ของคุณด้วยค่ะ ข้อดีประการสุดท้ายคงถูกใจสาวๆ ส่วนใหญ่ ฉะนั้น สาวใดที่อยากผิวสวยควรหันมารับประทานมะเขือเทศวันละ 1-2 ลูกเป็นประจำ เท่านี้ก็ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงให้เปลืองเงินเปลืองทองที่สำคัญ มะเขือเทศนั้นราคาแสนถูก ถ้าจะต้องรับประทานเป็นประจำเพื่อผิวสวยและสุขภาพที่แข็งแรงก็ไม่น่าจะเดือด ร้อนเงินในกระเป๋า

ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ


ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือนๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3-7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกัน การขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง หลักการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด สามารถทำง่ายๆในชีวิตประจำวัน โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติ ไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่น ควรดื่มตอนเช้า เพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย ในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำทั้งหมด 10 แก้ว โดยตื่นนอนตอนเช้าดื่ม 1 แก้ว ตอนสายดื่มอีก 2 แก้ว ตอนบ่ายและตอนเย็นดื่มครั้งละ 3 แก้ว และก่อนเข้านอนดื่มน้ำอีก ...

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"เม็ดฝรั่ง" ทำให้เป็นไส้ติ่ง จริงไหม ?

ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลันที่พบมากที่สุด ซึ่งมักจะพบมากในช่วงอายุ 15-45 ปี ทั้งชายและหญิง


สาเหตุเกิดจากการอุดตันของไส้ติ่ง ซึ่งอาจเกิดได้จาก อาหารอะไรก็ได้ที่ตกลงไป ไม่จำเป็นต้องเป็น เม็ดฝรั่งแบบที่คนโบราณบอก ( แต่เม็ดฝรั่งก็มีส่วนถูกนะ) หรือจะเกิดจากมีการบวมของต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น หรืออาจเกิดจากพยาธิหล่นลงไปอุด มีเนื้องอกแถวนั้นโตไปอุด จะอะไรไปอุดก็ตาม เมื่อเกิดการอุดรูของไส้ติ่ง ของเหลว สารคัดหลั่งจะไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ทำให้เกิดอักเสบ มีการติดเชื้อเกิดขึ้น

อาการของไส้ติ่งอักเสบ ก็คือมีการปวดท้อง ส่วนใหญ่ก็จะปวดทั่วๆไป อาจปวดรอบสะดือก่อน จากนั้นอีก 6-12 ชม.ต่อมา อาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ด้านขวาล่าง อาจมีไข้ต่ำ แต่ไข้มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส อาการแบบนี้ คือ อาการที่มาตรฐาน Super Classic ซึ่งอาการแบบนี้ จริงแล้วพบได้เพียง 25% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออาจไม่เป็นไปตามนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับตำแหน่งของไส้ติ่ง อาจมีปวดด้านขวาบนได้ หรือ ตรงกลางได้ ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้น หรือ อาการนำอาจไม่ได้ชัดเจนแบบที่บอก

แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหาร กินข้าวไม่ลง บางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน อาจมีถ่ายเหลว ถ้ายังไม่ได้รับการรักษา อาการอาจเพิ่มมากขึ้น ไข้อาจสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส อาการปวดอาจปวดทั้งซ้ายและขวา ซึ่งนั่นหมายถึงไส้ติ่งเริ่มติดเชื้อ รุนแรง เน่า และ แตกหรือกลายเป็นฝี ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น คนไข้ อายุ ขนาดของไส้ติ่ง การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไปบางส่วน แต่โดยทั่วไประยะตั้งแต่เริ่มปวดจนแตก มักไม่เกิน 3 วัน

การรักษาไส้ติ่ง แน่นอนที่สุด อย่างที่เราทราบๆกันดี คือ การผ่าตัด ซึ่ง การผ่าตัดอาจทำได้ทั้งการดมยาสลบ หรือ การฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลัง ที่เรามักคุ้นกับคำว่า บล๊อกหลัง ซึ่งหลังจากนั้น ศัลยแพทย์ ก็จะทำการผ่าตัด โดยเปิดแผลขนาด 3-4 cm ที่ หน้าท้องด้านขวาล่าง ตัดไส้ติ่งออก เย็บปิดแผล

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วอมแบท??

"งุ่มง่าม เชื่องช้า เฉื่อยชา ขาสั้น" เป็นคำจำกัดความของสัตว์โลกที่แสนน่ารัก ซึ่งมีหน้าตาคล้ายหนู รูปร่างเหมือน หมีโคอาร่า ไม่ใช่...มันไม่ใช่ทั้งหนูหรือหมีแต่มันคือ "Wombat” สัตว์พื้นเมืองของทุ่งออสเตรเลีย


วอมแบท (อังกฤษ: Wombat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้อง ในวงศ์ Vombatidae มีทั้งหมด 3 ชนิด ใน 2 สกุล

วอมแบท เป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในออสเตรเลีย มันมีขนสีน้ำตาล-เทา หรือสีดำ ด้วยขนที่นุ่นนิ่ม จึงทำให้มันเป็นสัตว์ที่น่ารักที่สุดในแถบนั้นรองมาจากหมีโคอาล่า ด้วยขาหน้าที่ทรงพลังและกรงเล็บที่แข็งแรง ทำให้มันสามารถขุดดินได้ว่องไว แม้ว่าวอมแบทจะมีสายตาที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าธรรมชาติก็ได้ชดเชยความสามารถ ในการดมกลิ่นของมันให้มีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี

แม้ว่าหน้าตาและท่าทางของวอมแบทและจิงโต้จะต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่มันเป็นสัตว์ที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่ามันมีสายพันธุ์เดียวกัน เพราะว่า.....วอมแบทและจิงโจ้มีกระเป๋าหน้าท้อง ที่นำมาใช้เป็นที่อาศัย ของลูกน้อยเหมือนกัน โดยวอมแบทจะออกลูกคราวละ 1 ตัวเท่านั้น ใช้เวลาในการอุ้มท้องประมาณ 22 วัน ลูกที่ออกมาจะยังไม่ลืมตาและยังไม่มีขนที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ ถึงแม้ว่าตาและหูของมันจะยังทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่ปากและจมูก ก็ทำหน้าที่ดมกลิ่นและกินอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมันจะควานหาหัวนม ที่มีอยู่เพียงหัวเดียว ในกระเป๋าหน้าท้อง เมื่อนมนั้นเข้าปาก หัวนมจะพองตัวออกมา เพื่อให้คับปากลูก ทำให้ไม่กระเด็นออก ไปนอกกระเป๋า เมื่อแม่ต้องออกไปหาอาหาร วอมแบทมักจะออกหาอาหารในช่วงกลางคืน โดยใช้เวลาประมาณ 3-8 ชั่วโมงและเดินทางไกลกว่า 3-4 กิโลเมตร จึงจะได้อาหารที่ต้องการ

วอมแบทใช้เวลาในการเจริญเติบโต ประมาณ 4-10 เดือน เมื่อมีผู้ไม่หวังดีเข้ามาทำร้ายหรือสร้างความหวาดกลัว ให้ลูกน้อย มันจะกลับเข้าไปในกระเป๋าหน้าท้องของแม่ทันทีเพื่อความปลอดภัย เมื่อเริ่มเติบโตขึ้นมันจะกินอาหารอื่นๆแทนนมแม่ โดยอาหารของมันคือพืช ประเภทหญ้า ซึ่งเป็นอาหารที่มันชื่นชอบและเหมาะสมกับวอมแบทมากที่สุด เพราะฟันทั้ง 24 ซี่ ที่แข็งแรงของมันนั้จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดอายุขัยของมัน ซึ่งจะทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหารที่มีไฟเบอร์และมีซิลิกาสูง ได้เป็นอย่างดี

กรงเล็บที่แหลมคมของวอมแบททำหน้าที่สร้างรังขนาดใหญ่ให้กับมัน ซึ่งจะอาศัยอยู่ตามทุ่งหญ้าสวันนา ทุ่งป่าเปิด และที่ราบที่เต็มไปด้วยต้นไม้เตี้ยๆ แทนที่วอมแบทจะอาศัยอยู่ตามพื้นดิน มันกลับไปอยู่ใต้ดินเหมือนตัวตุ่นแทน ภายในอุโมงค์ที่มีความซับซ้อน จะมีวอมแบทอยู่ประมาณ 5-10 ตัว โดยจะมีตัวผู้และตัวเมียในจำนวนที่เท่าๆ กัน หากมีสัตว์อื่นๆเข้ามาจู่โจมภายในอุโมงค์ มันจะใช้ก้นที่หนาและแข็งแรง เป็นกำบัง ถ้าผู้บุกรุก พยายามคลานเข้ามาอยู่บนตัวของวอมแบท มันจะถีบด้วยขาหลังที่แข็งแรง และผลักเข้าไปติดกับผนังอุโมงค์ทันที โดยจู่โจมเข้าที่จมูกหรือที่ไหนก็ได้ที่ทำให้ศัตรูหยุดลมหายใจ

มีรูปร่างโดยรวม อ้วนป้อม มีขนนุ่มละเอียด มีสีน้ำตาลอ่อนหรือเทาหรือดำ หางสั้น มีส่วนขาที่สั้น ขาหน้าที่มีเล็บแหลมคมและข้อขาที่แข็งแรง ใช้สำหรับขุดโพรงเพื่ออยู่อาศัย ซึ่งโพรงมีทางยาวและมีหลายห้องหลายทาง เป็นสัตว์ที่หากินในเวลากลางคืน ในยามปกติตัวผู้และตัวเมียจะแยกกันอยู่ จะอยู่ด้วยกันเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น ขนาดโตเต็มที่โดยเฉลี่ยยาวประมาณ 1 เมตร น้ำหนักเกือบ 40 กิโลกรัม กินพืชเป็นอาหาร โดยเฉพาะหญ้าที่เป็นอาหารหลัก

วอมแบทเป็นสัตว์ที่มีกระเป๋าหน้าท้องคว่ำ เพื่อป้องกันลูกตกลงมา ให้ลูกครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น ใช้เวลาตั้งท้องนาน 22 วัน
มีทั้งหมด 3 ชนิด 2 สกุล พบในประเทศออสเตรเลียทางตอนใต้และเกาะทัสมาเนียเท่านั้น ได้แก่

สกุล Vombatus

*วอมแบทธรรมดา (Vombatus ursinus)

สกุล Lasiorhinus

*วอมแบทจมูกขนพันธุ์เหนือ (Lasiorhinus krefftii)

*วอมแบทจมูกขนพันธุ์ใต้ (Lasiorhinus latifrons)

สำหรับในประเทศไทย มีวอมแบทถูกเลี้ยงในสวนสัตว์ คือ สวนสัตว์ดุสิต โดยได้รับมาจากรัฐบาลออสเตรเลียเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2550

นอกจากนี้แล้ว ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ยังมีสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องอีกจำพวกหนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายวอมแบทในปัจจุบันนี้ แต่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว คือ ไดโปรโตดอน ที่มีความสูงจากพื้นดินถึงหัวไหล่ประมาณ 2 เมตร ลำตัวยาว 3 เมตร น้ำหนักราว 3 ตัน

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ต้นไม้แปลก ต้นไม้สีรุ้ง!!!


Rainbow Eucalyptus ต้นยูคาลิปตัสสีรุ้ง ( Deglupta ยูคาลิปตัส ) หรือ Mindanao กาว สปีชีส์เฉพาะของทรียูคาลิปตัสที่พบในในซีกโลกเหนือเหมือนกับที่ไม่พิเศษ เพียงพอ, ขึ้น 70 m ของความสูงของต้นไม้เรืองแสงสีของสายรุ้งยัง: เปลือกของสามารถถือว่าเป็นสีเหลือง, acinzelado, สีส้ม และสีเขียวกับสีม่วง!!!เมื่อเห็นต้นไม้ต้นนี้หลายคนคงสงสัยว่า ใครหนอช่างมือบอน เอาสีมาป้ายตามต้นไม้ซะเละไปหมด แต่ถ้าบอกว่าต้นไม้นี้ไม่ได้ถูกสีป้าย แต่มันเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

รายละเอียด เกี่ยวกับ ต้นไำม้สีรุ้ง
*ต้นยูคาลิปตัสสีรุ้ง สามารถพบได้ที่ นิวกินี(New Guinea) , นิวบริเทน(New Britain) , ฟิลิปปินส์(Philippines)

*ต้นยูคาลิปตัสสีรุ้ง เป็น ต้นยูคาลิปตัสสายพันธุ์หนึ่ง ที่สามารถขึ้นได้ในเขตซีกโลกเหนือ ( Northern Hemisphere )

*ต้นยูคาลิปตัสสีรุ้ง ก็ เหมือนๆต้นยูคาลิปตัสทั่วไปที่สามารถนำมาผลิตกระดาษ ได้

*ต้นยูคาลิปตัสสีรุ้ง เป็นต้นไม้่ขนาดใหญ่สามารถสูงได้ถึง 70 เมตร

*ต้นยูคาลิปตัสสีรุ้ง เมื่อเริ่มแรกลำต้นก็จะมีสีเขียว

สาเหตุที่ต้นยูคาลิปตัสสีรุ้ง มีลำต้นหลากหลายสี นั้นเนื่องจาก ต้นยูคาลิปตัสมีเปลือกหลายชั้น โดยชั้นนอกสุดมีสีเขียว ชั้นต่อๆไปเป็นสีน้ำเงิน , สีส้ม , สีม่วง , สีม่วงเข้มแกมน้ำตาล เมื่อเปลือกลอกออกจะเผยเปลือกสีสันต่างๆ ขึ้นมา

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นกสวยงาม :'3

Eastern Rosella


Eastern Rosella (Platycercus eximius) เป็นนกที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปออสเตรเลียและแทนซาเนีย มันเป็นนกฉลาดที่สามารถฝึกให้จำเพลงได้หลายเพลงและฝึกให้พูดได้ ถึงแม้ว่า Eastern Rosella สามารถเอามาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงได้ แต่ปรกติแล้วพวกมันชอบที่จะอยู่ห่างๆคนมากกว่าและไม่ชอบให้ถูกจับแม้แต่จะเป็นตัวที่ถูกเลียงมาตั้งแต่เด็กก็ตาม เพราะฉะนั้น ถ้าคุณได้เจอเจ้านกสุดสวยงามนี่ในธรรมชาติแล้วก็อยู่ห่างๆเข้าไว้ล่ะ เพราะคุณอาจจะโดนจะงอยปากร้ายๆนั้นจิกได้
 
ไฮยาซินธ์ มาคอว์


ความสวยงามของไฮยาซินธ์ มาคอว์ (Anodorhynchus hyacinthinus) เจ้านกที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกากลางและตะวันออกนี้คือสปีชีส์ของนกแก้วบินได้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมันมีความยาว ~100ซม., หนัก 1.2-1.7กก.และมีความปีกอแต่ละข้าง 38.8-42.5ซม.  และถึงแม้ว่าไฮยาซินธ์ มาคอว์จะไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ พวกมันก็ยังเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ด้วยสาเหตุมาจากการโดนจับไปเลี้ยงและการสูญเสียที่อยู่

  ทูแค่นปากเป็นสัน (Keel-billed Toucan)

เจ้านกประจำชาติของประเทศเบลีซนี้สามารถพบได้จากทางใต้ของประเทศเม็กซิโกไปจนถึงเวเนซูเอล่าและโคลัมเบีย ทูแค่นปากเป็นสัน (Ramphastos sulfuratus) ยังมีชื่อเรียกอื่นๆว่าทูแค่นอกกำมะถัน (Sulfur-breasted Toucan) และ ทูแค่นปากสีรุ้ง (Rainbow-billed Toucan) พวกมันเป็นนกที่ชอบเข้าสังคมซึ่งทำให้ไม่ค่อยถูกพบอยู่ตัวเดียว แต่ถึงแม้ว่าฝูงทูแค่นปากเป็นสันจำนวน 6-30ตัวจะเดินทางร่วมกัน คุณก็อาจจะแทบไม่เคยเห็นฝูงในอากาศเพราะเจ้านกพวกนี้เป็นนักบินยอดแย่ซึ่งทำให้พวกมันชอบบเดินทางด้วยการกระโดดจากต้นไม้นึงไปอีกต้นมากกว่า


ไก่ฟ้าทองคำ (Golden Pheasant)    


ไก่ฟ้าทองคำหรือไก่ฟ้าจีน (Chrysolophus pictus) นี้อาศัยอยู่หลักๆในแถบภูเขาทางตะวันตกของประเทศจีน ตัวผู้นั้นมีขนสวยงามและหงอนสีทองโดดเด่นในขณะที่ตัวเมียนั้นมีขนสีน้ำตาลหม่นๆ ไก่ฟ้าทองคำนั้นก็เหมือนไก่ทั่วไปที่บินได้แย่และชอบอาศัยอยู่บนพื้นดินมากกว่า ไก่ฟ้าทองคำเป็นหนึ่งในไก่ฟ้าเลี้ยงที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด ซึ่งมันก็เป็นไก่ฟ้าที่ทนทานและง่ายต่อการเลี้ยงอีกด้วย

Painted Bunting


Painted Bunting (Passerina ciris) นั้นได้ชื่อว่าเป็นนกที่สวยที่สุดในอเมริกา มันเป็นนกในวงศ์นกคาร์ดาลที่สามารถพบได้มากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกาตอนใต้ ตัวผู้นั้นมีสีสวยสดใสในขณะที่ตัวเมียมีสีเขียวขุ่นเพื่อช่วยในการพรางตัว Painted Bunting เคยเป็นนกเลี้ยงยอดนิยม แต่ในปัจจุบัน การจับหรือมีมันไว้ในครอบครองนั้นผิดกฏหมาย


ไพโอนัสปีกสีบรอนซ์ (Bronze-Winged Pionus)


ไพโอนัสปีกสีบรอนซ์ (Pionus chalcopterus) นั้นคือนกแก้วสีสวยที่พบได้ในป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้เท่านั้น เจ้านกเหล่านี้สามารถมีชีวิตยืนนานถึง 40ปีและมักจะเป็นตัวเลือกแรกของผู้ที่เริ่มเลี้ยงนกแก้วเพราะความช่างพูดและความง่ายต่อการฝึกของมัน ถ้าคุณอยากจะมีไพโอนัสปีกสีบรอนซ์ไว้เลี้ยงแล้วล่ะก็ คุณควรจะเตรียมกรงขนาดใหญ่ไว้ให้มันด้วยเพราะเจ้านกนี้น้ำหนักเพิ่มจนเกินขนาดง่ายมาก


นกกระเรียนหงอนเทา (Grey Crowned Crane)


นกกระเรียนหงอนเทา (Balearica regulorum) เป็นนกรูปร่างสูงใหญ่ที่มีความสูงประมาณ 106.7ซม. เจ้านกกระเรียนนี้เป็นนกประจำชาติของประเทศยูกันดา มันเป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดในทุ่งหญ้าซาวันน่าแห้งๆทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่าแห่งทวีปแอฟริกา นกกระเรียนหงอนเทาและนกกระเรียนหงอนดำญาติของมันนั้นเป็นนกกระเรียนเพียง 2สปีชีส์เท่าานั้นที่สามารถนั่งเกาะต้นไม้ได้เพราะพวกมันมีนิ้วเท้ายาวพอ นกกระเรียนหงอนเทาเป็นนกที่ไม่อพยพและพวกมันกำลังเผชิญปัญหาที่เกิดกับถิ่นที่อยู่ที่กำลังเพิ่มขึ้น


ฟลามิงโก้ (Flamingo)


ฟลามิงโก้เป็นนกที่ค่อนข้างแปลกเพราะความที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าทำไมพวกมันถึงยืนขาเดียว ซึ่งการสันนิษฐานที่บางคนให้ไว้นั้นคือฟลามิงโก้สามารถนอนพักร่างกายได้ครั้งละครึ่งซีก แต่การสันนิษฐานนี้ก็ยังไม่เคยถูกพิสูจน์ ฟลามิงโก้เป็นนกสีสวยซึ่งมาจากโปรตีนแคราทีนอยด์ในตะไคร่น้ำสีฟ้า-เขียวที่กินเข้าไป สีสวยๆในฟลามิงโก้ไม่เพียงแต่บอกถึงความมีสุขภาพดีอย่างเดียว แต่สีนั้นยังเป็นสิ่งดึงดูดใจเพศตรงข้ามอีกด้วย


 คาเนอร์สีทอง (Golden Conure)


คาเนอร์สีทอง (Guaruba guarouba) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าพาราเคทสีทองเป็นนกที่อาศัยอยู่ในป่าฝนที่ราบสูงของบราซิล พวกมันเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ด้วยสาเหตุมาจากการทำลายป่าไม้และความเสี่ยงสูงในการถูกจับเพื่อเอาขนสีสวยงาม คาเนอร์สีทองมีวิธีการขยายพันธุ์อันโดดเด่นในหมู่นกแก้วด้วยกัน ซึ่งก็คือ พ่อ-แม่นั้นจะมีพี่เลี้ยงช่วยในการเลี้ยงดูลูกๆ


ลอริคิทสีรุ้ง (Rainbow Lorikeet)


ลอริคิทสีรุ้ง (Trichoglossus haematodus) นั้นเป็นนกแก้วพื้นเมืองของทวีปออสเตรเลีย, อินโดนีเซียตะวันออก, ปาปัว นิวกินี, นิว คาลีโดเนีย, หมู่เกาะโซโลมอน, และวานัวตู ลอริคิทสีรุ้งเป็นนกที่หวงถิ่นมาและมันจะปกป้องรังจากศัตรูทุกขนาดอย่างไม่เกรงกลัว ลอริคิทสีรุ้งแบ่งออกเป็น 12สปีชีส์ย่อยที่มีสีสวยงามด้วยกันหมด


 ไคอิกท้องขาว (White-Bellied Caique)

ไคอิกท้องขาว (Pionites leucogaster) หรือนกแก้วท้องขาวเป็นนกที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าทางใต้ของแม่น้ำอะเมซอนแห่งทวีปอเมริกาใต้เท่านั้น มันเป็นนกที่ได้ชื่อเล่นว่า นกแก้วเต้นรำ เพราะความที่มันชอบกระโดดหรือเต้นเวลาที่ได้ยินเสียงตบมือเป็นจังหวะ ไคอิกท้องขาวเป็นนกแก้วที่มีเสียงกระพือปีกและสังคมแปลกไปจากนกแก้วอื่นๆ โดยพวกมันนั้นจะอยู่กันเป็นฝูงประมาณ 5-10ตัวในต้นไม้ใหญ่ต้นเดียว เมื่อคุณได้เห็นไคอิกท้องขาวแล้วคุณก็อาจจะอยากได้มันมาเลี้ยงซึ่งมันก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนอกจากเสียงที่เหมือนสัญญาณไฟไหม้เท่านั้นเองแต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ไคอิกท้องขาวนั้นเป็นสัตว์ที่จะเป็นเพื่อนกับคุณเป็นเวลานานมากกกว่านกแก้วอื่นๆ


นกพาราไดซ์ใหญ่ (Greater Bird-of-Paradise)


นกพาราไดซ์ใหญ่ (Paradisaea apoda) เป็นนกที่ใหญ่ที่สุดในนกสกุล Paradisaea ที่ประกอบไปด้วยสมาชิก 7สปีชีส์ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของนกพาราไดซ์ใหญ่แปลว่า นกพาราไดซ์ไร้ขา ซึ่งมีที่มาจากการขนส่งนกสตัฟฟ์ไปยุโรป โดยชาวพื้นเมืองนั้นจะขนส่งนกพาราไดซ์ใหญ่โดยตัดขาออก มันสามารถพบได้ในนิว กินีและหมู่เกาะอรูในประเทศอินโดนีเซีย นกพาราไดซ์ใหญ่นั้นอาจจะมีสีขนที่แตกต่างออกไประหว่างตัวผู้และตัวเมีย แต่โดยรวมแล้วทั้งสองเพศมีม่านตาสีเหลือและและจะงอยปากสีฟ้า

 โลรี่สีคล้ำ (Dusky Lory)


โลรี่สีคล้ำ (Pseudeos fuscata) โลรี่สีส้มคล้ำ, หรือโลรี่ตะโพกเหลืองเป็นนกที่หาพบได้ในอินโดนีเซียและปาปัวนิวกินีเท่านั้น มันเป็นนกแก้วสปีชีส์เดียวในสกุล Pseudeos โลรี่สีคล้ำนั้นอาจจะเป็นนกแก้วที่ชอบพูดคุยมากกว่านกแก้วขนาดเดียวกันอื่นๆ แต่เพราะความที่มันกินอาหารยากและเป็นเวลาเป๊ะๆนั้นทำให้ผู้คนไม่ค่อยมีไว้เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง

 
เลิฟเบิร์ดหน้าพีช (Peach-Faced Lovebird)


เลิฟเบิร์ดหน้าพีชหรือเลิฟเบิร์ดหน้ากุหลาบ (Agapornis roseicollis) ได้ชื่อมาจากความรักที่มันมีให้แก่ผู้เลี้ยงและนกอื่นๆ เจ้านกที่มียีนกลายพันธุ์มากกว่า 12ยีนนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นที่ๆมันอยู่รวมกันเป็นฝูง, กินทั้งวัน, และอาบน้ำทั้งคืน เลิฟเบิร์ดหน้าพีชเป็นนกช่างพูดช่างคุย, ตื่นตัว, น่ารัก, และเป็นเพื่อนที่ดีต่อผู้เลี้ยงซึ่งทำให้มันเป็นสัตว์สัตว์เลี้ยงอันยอดเยี่ยม แต่ถ้าคุณอยากจะมีเจ้านกนี้ไว้ครอบครองแล้วล่ะก็ คุณควรจะมีไว้ 2ตัวด้วยกันเผื่อตอนที่ไม่สามารถเอาใจใส่ได้


 นกยูง (Peafowl)

นกยูงนั้นคือนกในสกุล Pavo ที่อยู่ในวงศ์ไก่ฟ้าอีกที นกยูงตัวผู้นั้นเป็นเพศที่มีสีสันลวดลายสวนงามเรียกว่า peacock, ตัวเมียนั้นมีสีน้ำตาลเทาเรียกว่า peahen, และลูกน้อยเรียกว่า peachick นกยูงนั้นเป็นสัตว์ที่ทำรังบนพื้นดินแต่นอนหลับบนต้นไม้ นกยูงนั้นแบ่งเป็น 2สปีชีส์ได้แก่นกยูงอินเดีย (Pavo cristatus) ที่เรารู้จักกันดีซึ่งพบได้ในเอเชียใต้ เจ้านกยูงอินเดียนี้ยังเป็นนกประจำชาติของประเทศอินเดียอีกด้วย อีกสปีชส์ของนกยูงนั้นได้แก่นกยูงเขียว (Pavo muticus) ที่พบได้ในพม่าตะวันออกและชวา เจ้านกยูงเขียวนี้เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ด้วยสาเหตุมาจากการสูญเสียที่อยู่