วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เก็บน้ำผึ้งไว้ที่ไหนดีน้า


น้ำผึ้งเก็บไว้ได้นาน ณ อุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น

ทั้งยังรับประทานได้ทันทีไม่ต้องกลั่นหรือผ่านกรรมวิธีการผลิตใด ๆ เลย

น้ำผึ้งจึงเป็นอาหารจากธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบที่สุดชนิดไร้เทียมทาน

ผึ้งช่วยกลั่นกรองและดำเนินทุกขั้นตอนการผลิตให้เรา

พวกมันเก็บน้ำหวานจากดอกไม้ด้วยลิ้น และส่งต่อไปยังกระเพาะเก็บน้ำผึ้ง

ที่ซึ่งเอนไซม์ในน้ำลายจะเปลี่ยน น้ำตาลซูโครสในน้ำหวาน

ให้กลายเป็นน้ำตาลเด็กโทรสและเลวูโรส

เมื่อผึ้งบินกลับรัง พวกมันจะเก็บสะสมน้ำหวาน

ซึ่งผ่านกระบวนการย่อยมาบางส่วนไว้ในแต่ละช่อง ของรวงผึ้ง

จากนั้นผึ้ง "พ่อบ้าน" (house bees) จะอมน้ำหวานไว้ในปาก

เพื่อสร้างกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในอีกขั้นตอนหนึ่ง

ขั้นต่อมาพวกผึ้งจะใช้ปีกพัดน้ำหวาน เพื่อให้น้ำส่วนเกินระเหยไป

ผลผลิตสุดท้ายคือ น้ำผึ้งซึ่งมีองค์ประกอบของน้ำเพียงประมาณ 18% เท่านั้น


เอนไซม์ตัวหนึ่งใน น้ำลายซึ่งผึ้ง "เติม" ลงในน้ำหวานจากดอกไม้คือกลูโคลสออกซิเดส

เอนไซม์ตัวนี้ชะลอการเติบโตของแบคทีเรียในช่วงกระบวนการระเหยน้ำ

และช่วงหลังจาก นั้นถ้าปริมาณน้ำในน้ำผึ้งเพิ่มขึ้น

และด้วยคุณสมบัติยับยั้งการเจริญ เติบโตของเชื้อโรคของน้ำผึ้งนี้เอง

คนโบราณจึงใช้น้ำผึ้งทาสมานแผล


เมื่อใดก็ตามที่ปริมาณน้ำผึ้งที่เก็บสะสมไว้เริ่มจะเพิ่มขึ้น

เอนไซม์ตัวนี้จะช่วย ป้องกันไม่ให้น้ำเน่าเสีย

โดยเปลี่ยนกลูโคสให้กลายเป็นกรดกลูโคนิกกับ ไฮโดรเจนเพอร็อกไซด์

ทั้งคู่มีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียและยีสต์ กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้สำคัญมาก

เพราะน้ำผึ้งชอบดูดซับความชื้น

อย่างไรก็ตาม เหตุผลสำคัญที่สุดที่น้ำผึ้งไม่เสียง่าย คือ

ปริมาณน้ำตาลและกรดซึ่งสูง มาก

แบคทีเรียและยีสต์ไม่สามารถทนทานกับสภาวะทั้งสองได้

นอกจากนี้ คุณสมบัติดูดซึมน้ำของน้ำผึ้งยังทำให้จุลินทรีย์เกิดสภาวะขาดน้ำ

(dehydration) อย่างรวดเร็วก่อนที่พวกมันจะขยายพันธุ์ได้

เมื่อเวลาผ่านไปน้ำผึ้งบริสุทธิ์มักจับตัวเป็นเกล็ด

ส่งผลให้ปริมาณน้ำในน้ำผึ้งส่วนที่ไม่ จับตัวเพิ่มขึ้น

ยีสต์บางชนิดสามารถทนทานต่อปริมาณน้ำตาลสูงในน้ำผึ้ง ได้

ถ้าปริมาณน้ำเพิ่มมากเกินไป น้ำผึ้งจะเข้าสู่กระบวนการหมักบ่ม

การ ทำให้เกล็ดน้ำผึ้งกลับเป็นน้ำผึ้งตามเดิม

ทำได้โดยเอากระปุกใส่น้ำผึ้ง ไปอุ่นในกระทะใส่น้ำตั้งไฟให้ร้อน

และเพื่อป้องกันการจับตัวเป็นเกล็ด อีก ควรเก็บน้ำผึ้งไว้ในที่มืดและแห้ง


 http://www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?t=59379

ครอปเซอร์เคิล


วงธัญพืช (Crop Circle)
วงธัญพืช หรือ วงข้าวโพดล้ม หรือ ครอปเซอร์เคิล (อังกฤษ: crop circle) เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืชที่ล้มลง ซึ่งเริ่มต้นจาก ข้าวโพด โดยคำนี้รวมถึง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง วงข้าวโพดล้มนี้พบได้หลายแห่งทั่วโลก

คืนหนึ่งในปี 1972 ณ ประเทศอังกฤษ อาเทอร์ ชัตเติลวูด(Arthur Shuttlewood)กับ บริซ บอนด์(Bryce Bond)ซุ่มซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในแถบนั้นมานานเกือบทศวรรษ เชื่อกันว่ามันคือ          ยูเอฟโอ คืนนั้นทั้งสองผิดหวังเมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่าง ที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า Crop Circles

สี่ปีต่อมาในเดือนกันยายน 1976 เอดวิน เฟอร์(Edwin Fuhr)ชาวนาแห่งแลงเกนเบิร์ก(Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำ บินอยู่เหนือทุ่งนาหลังจากที่ยานเหล่า    นี้จากไปแล้ว เขาก็พบครอปเซอร์เคิลหลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรากฏการณ์วงกลมพืชบนท้องทุ่งของอังกฤษ ที่ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปริศนา       ลึกลับของโลกอยู่ทุกวันนี้
ครอปเซอร์เคิล ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษ ไม่มีใครอธิบาย       ได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากการค้นพบของชัตเติลวูดกับบอนด์และเฟอร์แล้ว มันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎีอุกกาบาตและทฤษฎีพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก ในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆเมือง วอร์มินสเตอร์(Warminster)ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น ในทศวรรษนี้เอง ด๊อกเตอร์ เทอร์เรนซ์ มีเดน(Terrence Meaden) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยครอปเซอร์เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอ    ทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex  ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ

ทฤษฎี นี้ได้รับการสนับสนุนจากผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นคือ ศาสตราจารย   โอซึกิ (Ohtsuki) เขาใส่พลาสมา (plasma Fireballs) ลงในถาดแป้ง ผลปรากฏว่ามันทำให้เกิดวงแหวนสองชั้นรอบศูนย์กลาง ปี 1991 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลหลายร้อยแห่งในอังกฤษ มันยังแพร่ระบาดไปในเยอรมัน สหรัฐอเมริกา บราซิล โรมาเนีย ฮังการีและญี่ปุ่น ยิ่ง   ไปกว่านั้นมันได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงใหม่เป็น Pictrogram เสมือนการสื่อความหมายบางอย่างด้วยภาพ รูปแบบใหม่ของมันทำให้ทฤษฎีผู้มาจากต่างมิติที่พยายามสื่อสาร    กับมนุษย์เริ่ม ก่อตัวขึ้น ความซับซ้อนของรูปทรงครอปเซอร์เคิล ทำให้ทฤษฎีพลาสมาไม่สามารถอธิบายรูปทรงนี้ได้ ในขณะที่คำกล่าวอ้างเรื่องแสงไฟประหลาดเหนือท้องทุ่งยามดึก แล้วทำให้เกิดครอปเซอร์เคิลในรุ่งอรุณของทฤษฎียูเอฟโอ ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ แต่มันก็ยังเป็นทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในปีเดียวกัน นี้เอง ชายชาวอังกฤษสองคนได้ออกมาเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ว่า ครอปเซอร์เคิลเป็นเรื่องหลอกลวงมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ เดฟ คอร์ลีและโดฟ โบเวอร์ (Dave Chorley and Doug Bower) อ้างว่าพวกเขาเป็น    ผู้สร้างมันขึ้นมารวมแล้วกว่า 1,000 แห่ง ตั้งแต่ปี 1978 โดยใช้ไม้กระดานขนาด 4 ฟุต และเชือกเป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันก็มีนักหลอกลวงกลุ่มอื่นๆออกปฏิบัติการในยามค่ำคืน  อย่างเดียว กับพวกเขาด้วย
นิตรสารไทม์ฉบับวันที่ 23 กันยายน 1991 พูดถึงเรื่องนี้ว่า นี่คือการนำไปสู่จุดจบของเรื่องซึ่งเป็นหนึ่งในความลึกลับที่สุดของอังกฤษ และของโลกแล้ว อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ครอปเซอร์เคิลก็ไม่ได้หายไปพร้อมกับการเผยตัวของนัก หลอกลวงคู่นี้ แต่กลับพุ่งสูงขึ้นในปี     ต่อมาคือปี 1992 มันเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาพร้อมกับความสลับซับซ้อนของรูปทรงเรขาคณิต และขนาดอันมหึมาหลายร้อยฟุตในทุ่งบาร์เลย์ และ ทุ่งข้าวโพด พร้อมๆกับการแพร่ระบาด    ไปกว่า 10 ประเทศ และยังทำให้ตัวเลขนักวิจัยเพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งมันคือศิลปอันวิจิตรพิสดารบนท้องทุ่ง ซึ่งผลิตช่างภาพมืออาชีพมากมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสิ่งพิมพ์  เกี่ยวกับครอปเซอร์เคิลที่เฟื่องฟู อยู่ทุกวันนี้

จนถึงปัจจุบัน มีครอปเซอร์เคิลเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่อังกฤษรวมแล้วประมาณ 10,000 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดทางภาคใต้ และ 90 เปอร์เซนต์อยู่ในรัศมี 50 ไมล์จากสโตนเฮน(Stonehenge) ครอปเซอร์เคิลบางแห่ง สื่อความหมายเกี่ยวกับจักรวาล แกแล็คซี่ บางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับหายนะของ โลกจากอาวุธนิวเคลียร์ และบางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับผลร้ายของการทำลายสภาพแวดล้อม ในวันที่ 17 สิงหาคม 2001 นักวิจัยครอปเซอร์เคิลต้องตะลึงกับครอปเซอร์เคิลรูปแบบใหม่สองแห่งในทุ่ง ข้าวโพดใกล้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Chilboltonที่ Hampshire อังกฤษ มันเป็นภาพกราฟิกของสัญญาณวิทยุที่ส่งจากโลกไปยังกลุ่มดาว M13  อีกแห่งหนึ่งเป็นภาพหน้าคนที่คล้ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครบรอบปี ได้เกิดครอปเซอร์เคิลแบบนี้ขึ้นอีก มันคือครอปเซอร์เคิลที่แสดงภาพของ E.T.ห่างจากที่ตั้ง กล้องโทรทรรศน์ Chilbolton ราว 9 ไมล์ในวันที่ 15 สิงหาคม 2002 สำหรับนักวิจัยแล้ว   ความพยายามของพวกเขาไม่ไร้ผล นักวิจัยได้พบเบาะแสบางอย่างที่อาจคลี่คลายปริศนานี้ได้ นั่นคือการพบความผิดปกติในลำต้นของพืชในครอปเซอร์เคิล ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถแยก แยะความแตกต่างระหว่างของจริงกับที่มนุษย์สร้าง ขึ้นได้ ครอปเซอร์เคิลของจริงนั้นลำต้นของ  พืชที่ล้มซึ่งอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 1 นิ้ว มีลักษณะโค้งงอไม่แตกหัก นอกจากนั้นโครงสร้างของเซลล์(cell Pit) ยังเปลี่ยนแปลง คือเซลล์ขยายตัวเหมือนได้รับความร้อน ด๊อกเตอร์  วิลเลียม เลเวนกูด (William C. Levengood) เชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดครอปเซอร์เคิล มันต้องใช้พลังงานที่เร็วและหนาแน่นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์  นักวิจัยเชื่อว่าพลังงานที่ว่า นั้นน่าจะ เป็นไมโครเวฟ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Microwave Transient Heating นักวิจัยยังอ้างการศึกษาผลกระทบของพืชในครอปเซอร์เคิล เปรียบเทียบกับพืชที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งพบว่า เมล็ดพืชใน ครอปเซอร์เคิลมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่า    เมล็ดพืชบริเวณใกล้ เคียงถึง 45 เปอร์เซ็นต์

คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) ภาพจาก BBCมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน    เป็นของด๊อกเตอร์ คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) นักวิทยาศาสตร์อังกฤษซึ่งศึกษาครอปเซอร์เคิลมาเป็นเวลา 17ปี ในปี 2000 แอนดริวเปิดเผยผลวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ว่า ราวๆ ร้อยละ 80 ของครอปเซอร์เคิลเป็นฝีมือของมนุษย์  ครอปเซอร์เคิลเหล่านี้ จะมีรูปทรงซับซ้อนและวิจิตรพิสดารส่วนที่เหลือซึ่งมีรูปทรงง่ายๆนั้น เขาเชื่อว่ามันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและกระแสไฟนี้เองเป็นตัวการทำให้พืชล้มลง งานวิจัยที่พบว่าครอปเซอร์เคิล  บางแห่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นไมโครโฟน หรือเครื่องบันทึกเสียงถูกรบกวนจนใช้การไม่ได้รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะรู้สึกปวดศีรษะหรือมีอาการคลื่นไส้ สนับสนุนทฤษฎีนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่ามันเกิดจากพลังงานที่ตกค้าง

แต่ ในปี 2000 ชายชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้างครอปเซอร์เคิล ที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งในภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11ปี พวกเขาเรียกตนเองว่า Circlemakers โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อนพวกเขาได้รับเชิญจากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้างครอปเซอร์เคิลที่มีความซับ ซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้ไมโครเวฟ ปัจจุบันพวกเขามีเว็บไซต์ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิล ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่จะอธิบาย ครอปเซอร์เคิลได้ นั่นคือ ทฤษฎีมนุษย์เป็นผู้สร้างแต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยครอปเซอร์เคิล ก็ยังเชื่อเหมือนกับแอนดริวว่ามันไม่ทั้งหมดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยหลายกลุ่มจึงยังดำเนินอยู่ต่อไป Circlemaker คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครอยากเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะผู้คนต้องการเชื่อสิ่งที่เป็นความลึกลับมากกว่า

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กระทกรก??

 
หากพูดถึงผลไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อ "กระทกรก" หลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร? แต่ถ้าเรียกว่า "เสาวรส" หลายคนก็จะเข้าใจกันดีว่า เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอสูง ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Passion Fruit มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกา แต่ก็สามารถเติบโตได้ดีในประเทศไทย เป็นไม้ผลประเภทเถาเลื้อย ลำต้นเป็นเถา มีมือเกาะออกตามซอกใบ เมื่อผลสุกจะมีสีต่างๆ กันขึ้นอยู่กับชนิดของพันธุ์ ซึ่งลักษณะรูปร่างก็แตกต่างกันไปตามพันธุ์เช่นกัน ผลนั้นมีทั้งรูปแบบกลม หรือรูปไข่ ภายนอกจะมีสีสดใสสวยงาม รสชาตจะออกเปรี้ยว คนนิยมน้ำมาผสมกับผลไม้ชนิดอื่นรับประทาน เช่น สัปปะรด แครอท ส้ม เพื่อรสชาตที่ดียิ่งขึ้น โดยในเสาวรสนั้นมีวิตามินเอสูงและสารแคโรทีนอยด์ ดังนั้น การดื่มน้ำเสาวรสเป็นประจำทุกวันช่วยบำรุงสายตา รวมไปถึงผิวพรรณได้ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาพบว่าในน้ำเสาวรสยังมีวิตามินซีมากกว่าที่พบในมะนาว และพบสาร Albumin homologous protein จากเมล็ด สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ รวมทั้งช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ และช่วยลดไขมันในเส้นเลือด

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Honey Badger อสูรร้ายตัวจิ๋วแห่งทะเลทราย

วันนี้จะพาไปรู้จักกับเจ้าตัวกระเปี๊ยกนี่กัน ชื่อว่า Honey Badger  หรือ เจ้าแบ็ตเจอร์ตัวกินน้ำผึ้ง

Honey Badger อสูรร้ายตัวจิ๋วแห่งทะเลทราย
 

หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ตัวเท่าๆหมาขนาดย่อมๆค่ะ น้ำหนักไม่เยอะ ซักประมาณ 7 - 14 กิโลกรัมได้
อ่า....... แต่พิษสงของมันร้ายกาจนัก ไม่งั้นจะประทับใจสุดชีวิตได้ยังไง
เจ้าฮันนี่แบ็ตเจอร์ มีสมญานามอีกว่า Snake Killer และ Killer Badger ค่ะ

ฮันนี่แบ็ตเจอร์อาศัยอยู่ในแถบทวีปแอฟริกา และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้  มันอาศัยอยู่ใต้พื้นดิน โดยการ ขุด เป็นโพรงลงไป สร้างบ้านทำรังมีครอบครัวกันในนั้น บางทีอุ่นหนาฝาคั่งมากๆ ปาเข้าไป 20 ตัว 

 มุด และขุดดินเก่งมากๆ
 มันวิ่งไว รวดเร็ว ฉลาด เขี้ยวแหลมคม  หนังหนา เล็บยาวและทรงพลัง เป็นสัตว์กินเนื้อ

อาหารของมันคือ...
 หนอน
 ปลวก
 กระต่าย หรือหนู
 เม่น
 เต่า
 งูทั้งมีพิษหรือไม่มีพิษ รวมไปถึงงูหลามด้วย
 แมงป่อง
 จระเข้ ขนาดซักราวๆ 1 เมตร
 กวาง
 และตัวกนู หรือ วิลเดอบีส

**ได้ชื่อว่าเป็น the most fearless animal of the world (สัตว์ที่ไม่กลัวอะไรเลย) ลงกินเนสบุ๊คในปี 2002
เจอ หมาจิ้งจอกมันก็วิ่งเข้าใส่ เจองูมันก็ฆ่ามากิน ไม่ว่างูมีพิษหรือไม่มีพิษ เจอเสือมันก็ไม่กลัว สิงโตพี่แกก็ฆ่ามาแล้ว (ตามที่มีการจดบันทึกไว้) ไม่ว่าสัตว์ตัวใหญ่กว่าแค่ไหน 

เจ้าแบ็ตเจอร์ชำนาญมากเรื่องการตะปบหัวงู ไม่ว่างูจะเลื้อยหนีขึ้นต้นไม้ ลงรู หรือพยายามจะต่อสู้ เจ้าแบ็ตเจอร์ไม่เคยพลาด

อาหารโปรดอีกอย่างของแบ็ตเจอร์คือรังผึ้งที่ฉ่ำไปด้วยน้ำผึ้ง
จะ กินน้ำผึ้งก็ต้องบุกรังผึ้งใช่มั้ย... เพื่อสนองความชอบ เจ้าแบ็ตเจอร์จะบุกตลุยเต็มสตีมเพื่อให้ได้รังผึ้งฉ่ำๆมาเขมือบ
เมื่อแบตเจอร์เจอรังผึ้ง แล้ว มันจะย่องเข้าหา โดยการหันก้นเข้าใส่และส่งกลิ่นจากต่อมกลิ่นแถวๆก้น ชวนให้ผึ้งวิงเวียน มันจะเด็ดรังผึ้งเพื่อลิ้มรสหวานของน้ำผึ้งมาเข้าปาก เมื่อผึ้งหายมึน ก็จะรุมต่อยเจ้าแบ็ตเจอร์ แบ็ตเจอร์จะกิน ไม่ว่าผึ้งเป็นร้อยเป็นพันจะรุมต่อยมัน พอเริ่มเยอะขึ้นมันก็จะทนไม่ไหว ผึ้งต่อยนี่ มันก็ต้องเจ็บ เจ้าแบ็ตเจอร์จะวิ่งออกมาเพื่อปัดๆ แล้ววิ่งเข้าไปกินต่อ