วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

โรคโพรพีเรียหรือผีดูดเลือด ( Porphyria )

 

     เป็นโรคเลือดที่เกิดจากความผิดปกติของเลือด จากการที่ร่างกายขาดเอนไซม์ ( Enzymes ) ที่ใช้สร้างร่างกาย ที่เรียกว่า "Heme" ซึ่งอาการของโรคจะแสดงออกมาสองลักษณะใหญ่คือทางจิต และทางผิวหนังร่างกาย ชื่อ Porphyria มาจากภาษากรีซ คำว่า porphyrus ซึ่งแปลว่า สีม่วง ( purple )

เหตุที่ทำให้โรคโพรพีเรีย ถูกเรียกว่า โรคผีดูดเลือด

-การรักษาทำได้การถ่ายเลือด ให้เลือด ในสมัยโบราณอาดใช้การให้ดื่มเลือด

-ผิวหนังจะเกิดอาการแพ้แสง จะเกิดเป็นแผลพุพองขึ้น ทำให้ผู้ป่วยกลัวแสง และออกจากบ้านเฉพาะ
  เวลากลางคืน

-อวัยวะส่วนยื่นเป็นระยางยื่น เช่นจมูก นิ้วมือนิ้วเท้า จะเกิดเป็นแผลเรื้อรัง จนหลุดขาดออกจากร่างกาย

-ริมฝีปากจะเกิดอาการดึงรั้ง จนมองเห็นฟันชัดเจน

-กระเทียมมีการเคมีบางตัวที่ใช้รักษาโรคโพรพีเรีย แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าผู้ป่วยบางคนกลัวกระเทียม


มือที่ผิวหนังหลุดล่อน น่ากลัว ที่เกิดจากโรค ทำให้ ผู้ป่วยที่เป็นโรค porphyria มีสีผิวขาวกว่าปรกติ



เด็กน้อยที่ดูท่าทางอิดโรย และต้องการกรอกเลือด


จากโรคแปรเปลี่ยนเป็นตำนาน Vampire

     ตำนานของชาวคาร์เพเทียนมิได้บอกว่าผีดิบขึ้นมาจากโลง ที่ถูกฝังลึกลงไปได้อย่างไรเพราะผีดิบไม่ใช่วิญ ญาณแต่เป็นศพที่ไร้ลมหายใจจะแทรกโลงแทรกพื้นดินขึ้นม าไม่ได้ แต่ตำนานกลับซ่อนปมเด่นของ ท่านเคานต์ไว้ว่า "สามารถแปลงร่างเป็นค้างคาว เป็นหมาป่า เป็นกลุ่มควันและมีอำนาจสะกดจิตในดวงตากล้า แข็งมากจนเมื่อได้สบตาเหยื่อแล้วเหยื่อจะไม่อาจขัดขื นให้ท่านเคานต์ดูดเลือดจากคอได้เลย"ผีดูดเลือดมา จากไหนนี่เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบมาก่อนจนถึงศตวรร ษที่19 ได้มีการค้นพบค้างคาวชนิดหนึ่งในป่า ร้อนชื้นของทวีปอเมริกา เจ้าค้างคาวประเภทนี้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการใช้เขี้ยว เจาะเส้นเลือดของสัตว์ต่างๆแล้ว ดูดเลือดกินมันจะเข้าจู่โจมสัตว์เลี้ยงเช่นแกะ วัว หรือแม้แต่สุนัขแล้วดูดเดือดออกไปจนแห้งและตายด้วย เลือดหมดตัวหรือโลหิตจาง ผุ้ค้นพบขนานนามมันว่า "แวมไพร" และหน้าตาของเจ้าแวมไพร์ก็แสนจะน่า เกลียดและน่ากลัว เจ้าค้างคาวแวมไพร์นี่และที่กลายมาเป็นเคานต์แดร็กคิวลาในที่สุด


ใครคือท่านเคานต์

เค้าท์แดรกคูลา - เจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้น วัลลาเซีย - แวมไพร์ผู้เป็นอมตะ อาศัยอยู่ในปราสาทที่ทรานซิลเวเนีย เป็นชายชราแต่ร่างกายแข็งแรง มีผมและหนวดเคราสีขาวโพลน ตาสีแดงมีแววโหดเหี้ยม ฟันเล็กแหลมคม ชอบสวมชุดยาวสีดำล้วน พูดภาษาอังกฤษชัดเจนแต่สำเนียงแปล่ง จะปรากฏตัวเฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น พยายามจะขยายอิทธิพลจากทรานซิลเวเนียไปทั่วยุโรป โดยเริ่มจากลอนดอน

สรุปแล้วท่านเคาร์ืืท ก็คือชายผู้ที่ป่วยด้วยโรค Porphyria นี่เอง


การติดต่อ

การกัด การขีดข่วน การให้เลือด เพศสัมพันธ์


พบโครงกระดูกผีดูดเลือด (Vampires)


ในช่วงศตวรรษที่ 15-16 กาฬโรค ( Plague ) ได้ระบาดในอิตาลี ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เนื่องจากประชาชนยังมีความเชื่อเรื่องภูตผี ปีศาจ จึงเชื่อว่าเหตุของโรคร้ายเกิดจากผีดูดเลือด ( Vampire ) จึงการค้นพบนี้จึงเป็นหลักฐานยืนยันในความเชื่อนี้ในยุคกลาง สิ่งที่พบคือโครงกระดูกบางส่วน และกระโหลกศีรษะของผู้หญิงคนหนึ่ง ทีถูกก้อนอิฐขนาดใหญ่ยัดไว้ในปาก ซึ่งมันเป็นวิธีการของหมอผีที่ใช้กับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีดูดเลือด เพราะเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะสามารถหยุกยั้งการแพร่กระจายของโรคร้ายได้ โครงกระดูกนี้ และโครงกระดูกอื่นถูกค้นพบที่ หลุมศพผู้ติดเชื้อกาฬโรค บนเกาะ Lazzaretto Nuovo ประเทศอิตาลี ซึ่ง Borrini นักโบราณคดีที่ขุดค้นกล่าวว่า " พวกเราโชคดีมากที่ค้นพบหลุมฝังศพ และโครงกระดูก ในยุคกลางแห่งนี้เนื่องจากเป็นที่รู้กันว่าการในการรักษาศพในยุคนั้นไม่ค่อยดีทำให้ไม่ค่อยเหลือหลักฐานอะไรจากยุคนั้นมากนัก"


อื่นๆ โรค Nemo mutation (ผู้ป่วยที่มีเขี้ยวเหมือน vampire)


ผู้ป่วยที่เป็นโรค Nemo mutation (ชื่อเล่นของโรคโพรพีเรียอีกทีหนึ่ง) จะมีเขี้ยวแหลมเหมือนแวมไพร์ บางรายอาจจะมีฟันทั่วไปด้วย ในบางรายอาจไม่มีฟันเลย มีแต่เขี้ยว 4ซีก

แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักอายุไม่ยาว ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตช่วงอายุประมาณ 10ขวบขึ้นไป จึงทำให้พบได้ยากมาก ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยโรคแวมไพร์ มีอาการแทรกซ้อนของโรค Nemo แล้วล่ะก็ ไม่แปลกใจเลย หากผู้คนในยุโรปสมัยโบราณจะคิดว่า คนเหล่านี้เป็นปีศาจ

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปราสาทเทพนิยายแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์ ประเทศฝรั่งเศส


ลุ่มแม่น้ำลัวร์ (Loire Valley)  ในตอนกลางของประเทศฝรั่งเศส เคยเป็นดินแดนที่ทรงอิทธิพลของประเทศ   เป็นเสมือนดินแดนในฝันของเจ้าชายเจ้าหญิง   มีปราสาทราชวังใหญ่โตโอฬารที่มีความงดงามทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง  เรียกในภาษาฝรั่งเศสว่า ชาโตว์ (chateau หรือในรูปพหูพจน์ chateaux)   ปราสาทเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการแสดงออกทางฐานะ และหน้าตาทางสังคม  แสดงถึงความฟุ้งเฟ้อตามสไตล์ฝรั่งเศส

ปราสาทเหล่านี้มีทั้งหมด 300 กว่าหลัง สร้างโดยกษัตริย์ และขุนนางในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10-20 และในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2000 องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนปราสาทแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์ให้เป็นมรดกโลกทางด้านวัฒนธรรม



ปราสาทชองบอร์ด (Chambord) เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำลัวร์ สร้างในสไตล์เรอเนซองส์แบบฝรั่งเศสโดยพระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 หลังจากที่พระองค์ได้ครอบครองเมืองมิลานและได้เห็นสถาปัตยกรรมแบบเรอเนซองส์อิตาลี พระองค์จึงมีพระประสงค์ที่จะสร้างปราสาทให้เป็นที่อิจฉาของยุโรปในสมัยนั้น

พระองค์ทรงโปรดการล่าสัตว์  จึงสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นในป่าเพื่อสะดวกกับการล่าสัตว์   บริเวณปราสาทจะมีกวาง หมูป่าเดินอยู่รอบ ๆ  หลังจากสวรรคต ปราสาทแห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างเป็นเวลากว่า 400 ปี



ไม่ไกลจากปราสาทชองบอร์ด จะถึงปราสาทเชอนองโซ (Chenonceau) พระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 โปรดเสด็จมาที่นี่ ต่อมาตกเป็นสมบัติของพระเจ้าอองรีที่ 2 พระโอรสของพระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 พระเจ้าอองรีที่ 2 ทรงอภิเษกกับพระนางแคเธอรีน (Catherine de Medici) แต่ทรงโปรดสาวงามนางหนึ่งและได้ยกปราสาทเชอนองโซให้เป็นที่อาศัยของพระสนมดิอาน (Diane de Poitiers) ดิอานโปรดปรานปราสาทแห่งนี้มาก ได้สร้างสะพานเชื่อมจากปราสาทไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำแชร์



ต่อมาเมื่อพระเจ้าอองรีที่ 2 เสด็จสวรรคต พระนางแคเธอรีนได้ยึดปราสาทเชอนองโซจากพระสนมดิอาน และเสด็จประทับที่ปราสาทแห่งนี้แทน พระนางได้สร้างปราสาทสองชั้นเหนือสะพานของดิอาน ตอนเย็นปราสาทแห่งนี้จะเรืองรองด้วยแสงไฟจากงานเลี้ยงรื่นเริง ซึ่งส่องแสงสะท้อนบนน้ำที่นิ่งสงบของแม่น้ำแชร์


ปราสาทเชอแวร์นี (Cheverny)  สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ.1924-1930   ปราสาทแห่งนี้ตกเป็นสมบัติของพระเจ้าอองรีที่ 2  ซึ่งยกให้พระสนมดิอาน  แต่ดิอานโปรดปรานปราสาทเชอนองโซมากกว่า  จึงขายปราสาทแห่งนี้ให้เจ้าของเดิม



ปราสาทอองบัวซ์ (Amboise)  ที่สวยงามแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในคริสตศตวรรษที่  11  ครั้งหนึ่งเคยเป็นพระราชวังหลวงในช่วงปีคริสต์ศตวรรษที่ 15-16   กษัตริย์ของฝรั่งเศสหลายพระองค์โปรดที่จะประทับ ณ ปราสาทแห่งนี้   โดยเฉพาะพระเจ้าฟรังซัวร์ที่ 1 ผู้ชักชวนให้ลีโอนาร์โด ดาวินชี มาอยู่ที่เมืองนี้   และได้นำศิลปะแบบเรอเนซองส์ของอิตาลีเข้ามายังบริเวณแถบนี้ด้วย


 บ้านของลีโอนาร์โด ดาวินชี สมัยที่ย้ายมาอยู่ที่ลุ่มน้ำลัวร์  เขาใช้ชีวิตในช่วงสามปีสุดท้ายที่นี่ และสิ้นใจในปี ค.ศ.1519


ปราสาทบลัวส์ (Blois)  ใช้เวลาถึง 4 ศตวรรษในการสร้าง  สถาปัตยกรรมจึงเป็นส่วนผสมของศิลปะในช่วงเวลาดังกล่าว   จริง ๆ ปราสาทบลัวส์ประกอบไปด้วยปราสาท 4 หลังในสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  เชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกันในศิลปะแบบกอธิกส์  เรอเนซองส์  อิตาเลียน  และ เฟรนช์คลาสสิกสไตล์   ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือบันไดวน และลวดลายศิลปะด้านหน้าอาคาร


ปราสาทอาเซย์-เลอ-ริโด (Azay-le-Rideau)  เป็นปราสาทเล็ก ๆ แต่มีเสน่ห์ดึงดูดมากพอที่จะเป็นที่ประทับของกษัตริย์ฝรั่งเศสถึงสามพระองค์   สร้างในศิลปะเรอเนซองส์แบบอิตาเลียน  ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่ได้รับการบูรณะดูแลดีที่สุดแห่งหนึ่งในลุ่มแม่น้ำลัวร์



ปราสาทอุสเซ่ (Usse)  ด้วยบรรยากาศที่สุดแสนจะโรแมนติก  ว่ากันว่า Charles Perrault ซึ่งเป็นผู้แต่งนิทานเรื่องเจ้าหญิงนิทรา  ได้แรงดลใจในการประพันธ์มาจากการเยี่ยมชมปราสาทแห่งนี้ในคริสตศตวรรษที่ 17  ปัจจุบันเจ้าของปราสาทยังคงอาศัยอยู่ที่นี่  แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพื่อเป็นค่าดูแลและซ่อมแซมปราสาทที่ต้องใช้เงินมหาศาล 



ปราสาทวิลองดรี (Villandry) ล้อมรอบด้วยสวนสวย ๆ แบบเรเนอซองส์


เมืองตูร์ (Tours)  มีประชากร 140,000 คน  ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำลัวร์ทางตอนเหนือและแม่น้ำแชร์ทางตอนใต้   มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน   อาคารส่วนใหญ่ในเมืองจะมีสีขาวหลังคาน้ำเงิน


ในเขตเมืองเก่า ตรงกลางเป็นจัตุรัสชื่อว่า Place Plumereau มีบ้านเรือนในยุคกลางซึ่งบางส่วนเป็นไม้ซุง   มีร้านอาหารและผับตั้งเรียงรายเต็มไปหมด



โบสถ์แห่งเมืองตูร์ สร้างอุทิศแด่บิชอปแซงต์กาเตียง (Saint-Gatien)  เริ่มสร้างในปี ค.ศ.1170 เพื่อแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกไฟไหม้ในสงครามเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้   แต่สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นศิลปะแบบกอธิกส์ยุคศตวรรษที่ 15


รูปกษัตริย์ฝรั่งเศสที่เคยประทับอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำลัวร์แห่ง

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีดูแลผิวเมื่อเข้าหน้าหนาว!!!



วิธีดูแลผิวหน้าหนาวสำหรับสาวๆ ผิวแห้ง ตอนนี้เริ่มเข้าหน้าหนาวกันแล้ว สิ่งที่เห็นได้จากความเปลี่ยนแปลงของร่างกายคือสุขภาพผิวนั่นเอง โดยเฉพาะผิวแห้งยิ่งเป็นปัญหาใหญ่และเห็นได้ชัด หากไม่ได้รับการบำรุงดูแลเอาใจใส่แล้ว อาจจะทำให้ผิวของคุณเสียและขาดความมั่นใจ เพราะเกิดปัญหาผิวแตกลายได้ จึงมีวิธีมาแนะนำสำหรับสาวๆ ที่กำลังประสบปัญหาผิวช่วงหน้าหนาว


กระชับรูขุมขนช่วงหน้าหนาว

อากาศหนาวจะทำให้ผิวของคนเราขาดความชุ่มชื่น โดยเฉพาะตอนที่เราอาบน้ำจะทำให้ผิวของเรามีความตึงมากยิ่งขึ้นกว่าปกติ หลังจากที่เราอาบน้ำแล้วภายใน 3 นาที เราก็ควรที่จะทาโลชั่นทันที เพื่อป้องกันผิวแตกแห้ง และเกิดเป็นขุยขาวได้

สำหรับคนที่มีรูขุมขนกว้าง โดยเฉพาะคนที่ย่างเข้าวัย 20 ปลายๆ อาจจะรู้สึกว่ารูขุมขนดูขยายใหญ่ขึ้น ทุกๆ เช้าหลังล้างหน้า ให้นำน้ำแข็งลูบให้ทั่วหน้า ทำทุกวันจะรู้สึกได้เลยค่ะ ว่ารูขุมขนกระชับขึ้น ในระหว่างวันก็ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิวด้วยคะ


ดูแลผิวหน้าหนาวสำหรับสาวผิวแห้ง

ผิวแห้งเป็นปัญหาที่เกิดจากผิวขาดวิตามินและความชุ่มชื้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวนี้ยิ่งแล้วใหญ่ อากาศหนาวจะทำให้ผิวของคุณแห้งยิ่งกว่าเดิม นอกจากคุณจะบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงแล้วก็ควรที่จะดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อผิวแห้งจะได้ชุ่มชื้นขึ้น


การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวนี่เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงใช่ย่อยนะคะ แทนที่คุณสาวๆ ผิวแห้งจะใช้ผลิตภัณฑ์แบบต้องใช้น้ำเปล่าล้างเหมือนเคย ลองเปลี่ยนมาเป็นประเภทน้ำนมทำความสะอาดผิวดู เพราะนอกจากจะช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางและสลายเซลล์ผิวเก่าแล้ว ยังช่วยให้คุณสาวๆ ผิวนุ่มชุ่มชื่นขึ้นด้วยล่ะค่ะ

ประวัติโมนาลิซ่า


โมนาลิซา (อังกฤษ: Mona Lisa) หรือ ลาโชกงด์ (ฝรั่งเศส: La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง พ.ศ. 2046 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050 (ค.ศ. 1507) เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ที่มาของชื่อ

คำว่า'โมนาลิซา" นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดย จอร์โจ วาซารี (Giorgio Vasari) ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซา เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจไหมผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรานเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo)

คำว่า โมนา" (Mona) ในภาษาอิตาลีนั้นก็คือคำว่า มาดอนนา (madonna) คุณผู้หญิง (my lady) หรือ มาดาม (Madam) ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ "มาดาม ลิซา" แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซา (Monna Lisa)



ประวัติ

ภาพโมนาลิซ่านี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2046 ถึง พ.ศ. 2050 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาด
ในปี ค.ศ. 1516 (พ.ศ. 2059) ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เอกือ

ในปี ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 63 ปี

ใบหน้าของมาดามลิซ่าตอนนที่ ดา วินชี เสียชีวิตแล้วได้ยกสมบัติและภาพวาดทั้งหมดให้เป็นมรดกของผู้ติดตามของเขา ฟรานเซสโก เมลซิ (Francesco melci) และเมื่อฟรานเซสโก เมลซิ เสียชีวิตลงก็ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร มรดกก็เริ่มกระจัดกระจาย

และต่อมาภาพโมนาลิซ่าถูกนำไปเก็บไว้ที่ พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม

ห้องแสดงในพิพิธภัณฑ์ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ระหว่างปี พ.ศ. 2413 - 2414 ภาพได้ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2454 (ค.ศ. 1911) ภาพโมนาลิซ่าถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี ซึ่งได้พบในเมืองฟรอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ปัจจุบันเธอถูกดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อันเป็นเครื่องหมายสากลว่า โมนา ลิซา จะไม่มีวันที่จะได้เคลื่อนย้ายไปแสดงที่ไหนอีกเป็นเด็ดขาด



ทฤษฎีสมทบ

กล่าวกันว่าภาพวาดนี้ ดา วินซี ตั้งใจจะวาดภาพของตนเองเพื่อเป็นหญิง และภาพวาดชิ้นนี้เมื่อส่องกับกระจกเงา จะพบว่ามุมการมองภาพรู้สึกเป็นธรรมชาติไม่แตกต่างจากการมองแบบปกติ เหมือนที่ ดา วินชี กล่าวไว้ว่า "ภาพเขียนที่จิตรกรจะคิดว่าสวยงามในทุกๆด้านและทุกๆมุมมอง ต้องพิจารณาภาพภาพในกระจกเงา" และจากการฉายรังสีที่ภาพวาด ทำให้พบว่าภาพเขียนนี้ถูกซ่อนเจตนาที่แท้จริงหลายอย่าง และยังเคยถูกเขียนทับอีกด้วย