
หมายเหตุ แพะ ภาษาพื้นเมืองแปลว่า ป่าละเมาะ
เมืองผี หมายถึง ความเงียบเหงาวังเวงเหมือนเมืองผี
เสาเมโร ภาษาพื้นเมือง หมายถึง เสารูปเหมือนปราสาท ที่ใช้ครอบศพผู้ตายทางภาคเหนือ
“ แพะเมืองผี”จึงเป็นพื้นที่เนินเขาที่สูงกว่าส่วนอื่น ๆเสาดินรูปทรงต่าง ๆคล้ายดอกเห็ด ยอดเจดีย์และจอมปลวก บางส่วนมีแสงสะท้อนระยิบระยับ มีหินสีต่างๆ ผสมอยู่กับเนื้อดินแลดูสวยงาม เกิดจากการพังทลายโดยการกัดเซาะตามธรรมชาติโดยกระแสน้ำเป็นเวลานาน ทำให้พื้นที่บางส่วนเป็นที่สูงต่ำสลับกันไปสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 180 – 210 เมตร เสาดินที่มีรูปร่างประหลาดเหล่านี้เกิดจากการกระทำของน้ำไหลและชะชั้นดินที่มีความแข็งไม่เท่ากัน นักธรณีวิทยาได้ประมาณค่าอายุของดินแห่งนี้ว่าน่าจะอยู่ในยุคควานเทอแนรี่ ซึ่งเป็นยุคค่อนข้างใหม่ มีอายุตั้งแต่ 15 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน ลักษณะการเกิดเสาดินเกิดจากหินเซมิคอนโซลอเดเตด คือหินที่ยังแข็งตัวไม่เต็มที่ประกอบด้วยชั้นดินทราย ชั้นหินทราย สลับกันเป็นชั้น ๆ แต่ละชั้นมีความต้านทานต่อการผุพังไม่เท่ากัน เมื่อถูกน้ำฝนชะ ซึมสู่ชั้นหินแล้ว ก็จะถูกกร่อนโดยง่าย เหลือเพียงชั้นที่มีความต้านทานผุพังมากกว่า ส่วนที่เหลือให้เห็นอยู่คือ หน้าผาและเสาดินมีรูปทรงแตกต่างกันก่อให้เกิดความสวยงามยิ่งขึ้น แพะเมืองผีจึงมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 3 ตำบล ได้แก่ตำบลแม่หล่าย ตำบลน้ำชำ ตำบลทุ่งโฮ่ง อำเภอเมืองจังหวัดแพร่ มีเนื้อที่ประมาณ500 ไร่ ได้รับการจัดตั้งเป็น “ วนอุทยานแพะเมืองผี” จากกรมป่าไม้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2524
ลักษณะทั่วไป : วนอุทยานแพะเมืองผีมีสภาพเป็นป่าบนที่ราบลอนคลื่น สภาพสูงๆ ต่ำๆ ไม่สม่ำเสมอ มีลักษณะเป็นเนินเตี้ยๆ
จะมีเสาดินรูปร่างประหลาดเกิดจากกระบวนการกระทำของน้ำไหลและชะชั้นดินที่มีความแข็งไม่เท่ากัน นักธรณีวิทยาประมาณ ค่าอายุของดินแห่งนี้ว่าอยู่ในยุค Quaternary ซึ่งเป็นยุคค่อนข้างใหม่ มีอายุตั้งแต่ 15 ล้านปี จนถึงปัจจุบัน
ลักษณะการเกิดของเสาดินเกิดจากหินเซมิคอนโซลิเดเตด คือ หินที่ยังแข็งตัวไม่เต็มที่ประกอบด้วยชั้นดินทราย (Siltstone) ชั้นหินทราย (Sandstone) สลับกันเป็นชั้น ๆ
ตำนานแพะเมืองผี : วนอุทยานแพะเมืองผี เมื่อครั้งในอดีตกาลนานมาแล้ว ชาวบ้านขนานนามว่า เป็น “แพะเมืองผี” ไม่มีผู้ใดทราบประวัติเป็นที่แน่นอน แต่ได้เล่าสืบทอดกันมาว่า แต่ก่อนบริเวณป่าแห่งนี้ เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ มีพันธ์ไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่นและสัตว์ป่าน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก
ในสมัยนั้น มีครูบาปัญโญฯ เป็นเจ้าอาวาสวัดน้ำชำ ตำบลน้ำชำ ซึ่งชาวบ้านได้พร้อมใจกันนิมนต์มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดน้ำชำ และได้บอกเล่าประวัติแพะเมืองผีสืบทอดติดต่อกันมาว่า
มีหญิงชราคนหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “ ย่าสุ่ม ” เข้าไปหาผัก หน่อไม้ เป็นอาหาร แต่หลงป่าแล้วไปพบหลุมเงิน ทองคำ จึงได้นำเงิน และทองคำ ใส่ถุงแล้วเตรียมหาบจะกลับบ้านเสร็จแล้วเกิดหลงป่าอีก โดยไม่สามารถนำเอาหาบเงิน ทองคำ ออกมาได้ ย่าสุ่มจึงวางหาบจะกลับบ้านเสร็จแล้วเกิดหลงป่าอีก โดยไม่สามารถนำเอาหาบเงิน คำ ออกมาได้ ย่าสุ่มจึงวางหาบแล้วหาไม้มาคาดเป็นราว (ราวไม้) ต่อมาออกจากป่าจนถึงบ้านและเดินกลับไปราวไม้ที่คาดไว้เป็นแนวทางไว้ ซึ่งปัจจุบันเป็นร่องทางน้ำพบเห็นได้ เป็นแนวออกไปทางบ้านน้ำชำทิศตะวันออกของแพะเมืองผี
ย่าสุ่ม จึงได้ชักชวนชาวบ้านให้เข้าไปด้วยปรากฏว่า ชาวบ้านก็ได้ติดตามย่าสุ่มเข้าไปถึงจุดที่ย่าสุ่มวางหาบไว้แต่ไม่พบเงินและทองคำ ในหาบแต่อย่าใด ไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไร ชาวบ้านจึงขนานนามสถานที่นั้นว่า “แพะย่าสุ่มคาดราว” และได้ช่วยกันค้นหา พบรอยเท้าคนเดิน ย่าสุ่ม และชาวบ้านได้เดินตามรอยเท้าเหล่านั้นไปจนกระทั่งมาถึงพื้นที่ซึ่งชาวบ้านขนานนามว่า “แพะเมืองผี”
ภาษาพื้นเมืองทางภาคเหนือคำว่า “แพะ” ในที่นี้หมายถึงป่าแพะนั่นเอง ส่วนคำว่าเมืองผี ก็เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันสืบมาในสมัยดึกดำบรรพ์ โดยอาจจะเห็นว่าป่าแพะตรงนี้มีลักษณะพิสดารของภูมิประเทศ และเพราะความเร้นลับตามเรื่องราวที่เชื่อถือเล่าสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็อาจเป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น